วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

ขับแบบสบายๆไปกับOverDrive

การขับขี่ในระยะทางไกลนั้นวิธีที่จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันนอกจากการที่ควบคุม
ความเร็ว/รอบให้คงที่แล้ว การใช้โอเวอร์ไดรฟ์(O/D)ก้อสามารถช่วยได้บ้าง
_
OverDriveคือ อัตราทดเฟืองเกียร์ที่ทำให้เพลากลางหมุนได้เร็วกว่าเพลาขับตัวเมน
ของเกียร์ จึงช่วยให้ใช้รอบเครื่องต่ำลงและรถวิ่งเร็วขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
_
ความหมายของO/Dข้างต้นอาจจะดูงงๆเข้าใจยาก อธิบายแบบง่ายๆ คงต้องบอกว่า
O/Dคือการเปิดการทำงานของเกียร์สูงสุด เช่น รถเรามี4สปีด กับปุ่มO/D
ถ้าO/D off รถยนต์จะวิ่งอยู่แค่เกียร์1-3เท่านั้น แต่ถ้าเปิดจะวิ่งครบ4สปีด
_
หลักการใช้งานO/Dง่ายๆและเทคนิคบางประการ
1. ในเมืองวิ่งๆจอดๆ ให้ปิดO/D นอกเมือง ให้เปิด แต่ก็มีบางท่านบอกว่าในเมืองก็
ควรเปิดไว้ แล้วยังไงกันแน่-_-' เอาเป็นว่าที่แน่ๆ วิ่งทางไกล ยาวๆ ไม่เน้นเร่งแซง
ก้อเปิดไว้เถอะครับ ประหยัดน้ำมันดีครับ
2. ใช้ในการเร่งแซง เมื่อ ขับอยู่ในช่วงความเร็วประมาณ 60-100 กม./ชม.
โดยขับเคลื่อนอยู่ในจังหวะเกียร์ Overdrive และมีความต้องการแซงรถคันข้างหน้า
แบบไม่รีบร้อนเร่งด่วนอะไรมากนัก ควรกดสวิตช์เป็น O/D Off เพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงมา
เป็นเกียร์ต่ำก่อน แล้วกดคันเร่ง (เบา ๆ ) เพิ่มกำลังเครื่องแซงขึ้นไป พอพ้นหรือ
หมดความจำเป็นแล้วจึงค่อยกดสวิตช์เปลี่ยนกลับมาเป็น O/D On ตามเดิม วิธีนี้จะรวดเร็ว
และประหยัดกว่าการเร่งแซงทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในเกียร์ Overdrive ซึ่งจะอืดอาดใช้เวลา
ในการแซงนานกว่า วิธีนี้จะทำให้การแซงนิ่มนวลกว่าการกดคันเร่งลึกให้เกียร์ Kick Down
3. ใช้ในการช่วยเบรก พวก เกียร์ Overdrive มีอัตราทดเกียร์ต่ำ ทำให้เครื่องยนต์ไม่มี
เอนจิ้นเบรก ดังนั้นในการเบรกจะใช้ระยะเบรกยาวกว่าปรกติ ด้วยเหตุนี้เพื่อความปลอดภัย
และช่วยให้ใช้ระยะในการเบรกสั้นลง เวลาที่ขับรถในจุดคับขัน เช่นขับลงทางลาด,สะพาน
ควรจะเปลี่ยนกลับมาใช้เกียร์ต่ำ โดยกดสวิตช์เป็นตำแหน่ง O/D Off โดยเฉพาะรถที่ใช้
ระบบเบรก ABS ซึ่งปรกติระยะเบรกจะยาวกว่ารถที่ไม่มี ABS อยู่แล้ว มาผสมโรงกับ
จังหวะเกียร์ Overdrive อีกก็จะไปกันใหญ่ เบรกกันไม่ค่อยทัน ในบางครั้งเราจึงควรกด
สวิตช์เป็น O/D Off ให้ลดลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อใช้เอนจิ้นเบรกมาช่วยลดความเร็ว
ของรถด้วยอีกทางหนึ่ง


^ ปุ่มOverDriveบนเกียร์

^ ปุ่มOverDrive ติดตั้งพิเศษ

สิ่งสำคัญที่อยากเตือนก็คือ การที่เรากดสวิตช์O/Dนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราเปิด
การใช้งานเสมอไป เพราะบางยี่ห้อเค้าตั้งค่าให้มันออนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นทำให้
การที่เรากดลงไปนั้นเป็นการปิดมันซะ ซึ่งผิดจุดประสงค์ของเรา ทางที่ดีสังเกตที่
สถานะการแจ้งเตือนบนไมล์รถของท่านทุกครั้งที่กด
_
เรื่องการใช้งานO/Dนั้นยังเป็นที่สับสนอยู่มาก แม้กระทั่งสื่อทางอินเตอร์เนตเอง
ยังนำเสนอเรื่องการใช้O/Dแตกต่างกันออกไป จนก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้อ่าน
(เขียนไปผมยังงงเลย) เอาเป็นว่าทางไกลวิ่งสบายๆไม่รีบร้อน เปิดO/Dละกันครับ
ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานไม่หนัก จะได้อยู่กับเรานานๆ และประหยัดเงินได้ครับ

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

New BMW Concept 5 Series ::Video

ดูคลิปนี้แล้วคงต้องกลับไปแก้ไขความเข้าใจผิดจากบทความอันก่อนเยอะเลย

(ไม่แก้หรอก ขี้เกียจแล้ว ดูจากนี่น่าจะกระจ่างอ่ะว่าจะออกมาแนวไหน)

ระบบหล่อ(เย็น)

ก่อนจะเข้าสู่บทความอยากจะถามท่านผู้อ่านว่าเคยดูหนังเรื่องDie hard4กันรึเปล่า
ถ้าเคย ท่านจำตอนที่ไปสู้กันที่หอหล่อเย็นของสนง.ประกันสังคมได้ไหม
ที่นั่น(ในหนัง)เก็บข้อมูลของทั้งประเทศไว้ เรียกได้ว่า เป็นฐานข้อมูลใหญ่เลยทีเดียว
ข้อมูลเก็บไว้เยอะ ก็ย่อมต้องมีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมที่ใหญ่มาก ดังนั้นความร้อน
ย่อมต้องสูงมาก จึงต้องมีหอหล่อเย็นไว้ระบายความร้อนกัน
.
แต่ในรถยนต์ไม่มีที่ว่างพอสำหรับหอหล่อเย็นหรอกครับ วิศวกรรุ่นบรรพบุรุษก้อรู้ดี
จึงได้ให้กำเนิดหม้อน้ำรถยนต์ขึ้นมา เพราะเครื่องยนต์ทำงานโดยหลักเผาไหม้
ความร้อนก้อย่อมเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา คนยังไม่ชอบร้อนๆเลยครับ รถก็เช่นกัน
.


^ แผงหม้อน้ำของรถยนต์(ไม่เห็นเหมือนหม้อเรย)

^ แผนภาพหลักการทำงานของระบบหล่อเย็น

^ พัดลมระบายความร้อน
.
เรามาทำความรู้จักกับชิ้นส่วนสำคัญเบื้องต้นกันดีกว่า
.
อันดับแรกของระบบหล่อเย็น คือ หม้อน้ำ (แน่ล่ะพูดเรื่องนี้ ต้องมีหม้อ อิอิ)
มีหน้าที่ระบายความร้อนของน้ำที่เดินทางมาจากเครื่องยนต์ น้ำจะเข้าไปในแผง
ลมจะช่วยพ้ดพาเอาความร้อนออกไป น้ำจึงเย็นตัวลง
ปัญหาที่พบกับหม้อน้ำคือ หม้อน้ำรั่ว ถ้ารั่วที่ตะเข็บหม้อน้ำล่ะก็ ยากที่จะดูออก
อีกอย่างที่พบบ่อยคือการอุดตันของหม้อน้ำ จากตะกรันต่างๆ สนิม และอื่นๆ
อันนี้แก้ไขโดย เอาหม้อออกมาล้างซะ แต่ว่า มันก้อไม่ง่ายนักการถอดมาล้างเนี่ย
เราจึงเสนอให้ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำหม้อน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือตามคู่มือกำหนด
แต่หากว่าแผงมันสกปรกก็ สามารถเอาน้ำฉีดได้ครับ แต่!! ต้องระวังโดนอุปกรณ์ไฟฟ้า
รอบๆนะ (เช่นพัดลมไฟฟ้า อะไรประมาณเนี้ย เด๋วจะงานเข้า)
.
อุปกรณ์ ในระบบหล่อเย็นที่สำคัญและจะขาดเสียไม่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ พัดลมหม้อน้ำ
เพราะช่วยในการถ่ายเทความร้อนระหว่างแผงหม้อน้ำกับอากาศให้สมดุลกับความร้อน
ที่เกิดขึ้น พัดลมจะใช้งานมากเมื่อรถมีความเร็วต่ำ เพราะอากาศไหลเข้าไม่ได้มาก
ปัญหาที่มักเกิดกับพัดลมคือพัดลมมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อันเนื่องมาจาก
ตัวใบพัดเสื่อมไม่กินลม ชุดฟรีครัชต์หมดสภาพ
การแก้ไขก็ง่ายๆครับ ขับรถตรงไปที่อู่ที่ไว้ใจได้ ให้เขาจัดการครับ (ทำเองยาก+เหนื่อย)
.
แต่ถ้ามันเกิดไม่หมุน อันดับแรกที่ควรทำคือดูที่ฟิวส์ครับอาจจะขาดหรือ ไปดูที่ตัวรีเลย์
มันอาจจะเสียก็เป็นไปได้ ก็เปลี่ยนมันซะ (แนะนำว่าซื้อเปลี่ยนหาของที่ราคาสูงๆไว้นะครับ)
(ที่บอกราคาสูงเนี่ย ฟิวส์ก็ตัวละแค่20กว่าบาทเอง ไอ้ที่ตัวละ10บาทไม่เอานะ มันห่วย)
.
อีกอย่างหนึ่งคือฝาปิดหม้อน้ำ ไอ้ตัวนี้ละครับมีกลไกซ่อนอยู่ แต่เป็นกลไกอะไรช่างเถอะคับ
แต่เราต้องตรวจสอบว่าซีลมันรั่วหรือไม่ แล้วก้อเวลาที่รถวิ่งมาแล้วจอด อย่าเพิ่งแอ็กไป
เปิดฝาหม้อน้ำนะครับ มันร้อน แรงดันมันก็สูงด้วย มือพองแน่ๆ
.
ชิ้นส่วนของระบบหล่อเย็นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีวาล์วน้ำ(เทอร์โมสตัท) ปั๊มน้ำ และอื่นๆอีก
แต่ว่า การเสียหายของชิ้นส่วนพวกนี้และการดูแลรักษาสังเกตได้ยาก-_-'
เอาเป็นว่าถ้าความร้อนขึ้นผิดปกติแล้วลองตรวจสอบเบื้องต้นแล้วยังไม่หายอีก
งานนี้คงต้องถึงมือช่างแล้วล่ะครับ
อีกอย่างที่อยากฝากไว้ หากท่านมีรถยุโรปหรูๆแพงๆ พยายามหาช่างที่ไว้ใจได้นะครับ
เพราะคนออกแบบรถพวกนี้คิดเยอะครับ ชิ้นส่วนมีมากมาย หลักการทำงานก็แปลกๆ
ไม่ง่ายเหมือนรถญี่ปุ่นนะครับ แล้วก้อระวังช่างขี้โม้ด้วยล่ะ
.
จบแค่นี้ล่ะครับ ขอให้รถท่านมีความสุขในหน้าร้อนนะครับ



วิดิโออธิบายเรื่องระบบหล่อเย็น



เปิดผ้าคลุมโฉม BMW 5er แต่! ยังไงกันแน่นะ



เมื่อราวๆช่วงปลายปีก่อนนั้น ได้มีการปล่อยภาพของBMW 5er ออกมา(2รูปล่าง)
ซึ่งดูแล้วก้อไม่ได้แตกต่างจากE60 เท่าไรนัก เหมือนกันว่าเป็นการนำเจ้า E60
มาแต่งหน้าทาปากเสียใหม่ แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทางBMW ได้เปิดเผยภาพใหม่
(ดัง2รูปบน) ซึ่งมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ 7erที่เพิ่งจะเปิดตัวกันไป และยังกล่าวอีก
ว่าอาจจะมีการเพิ่มรุ่นแฮตช์แบค เข้าไปในไลน์การผลิตด้วย นอกจากนี้แล้ว
ยังมีข่าวแว่วๆว่าทางBMW จะเปิดตัวเครื่องยนต์แบบV6 ใน 5erบอดี้ใหม่นี้ด้วย
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตำนานแห่งเครื่องยนต์6สูบแถวเรียงก็จะสิ้นสุดลงไปด้วย T_T
.
จะเป็นอย่างไรก็ตาม คงต้องรอปี2010 จึงจะได้รู้ว่าความจริงกันล่ะ
.


.

ภาพที่อ้างว่าเป็น spy shot (แต่ทำไมชัดเหลือเกิน)





วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

เกียร์อัตโนมัติ ใช้เป็นกันจริงหรือเปล่านะ?

::เกียร์อัตโนมัติ ใช้ง่าย ขับง่าย ใครๆก็ขับได้
..................
มันก็จริงครับ แต่! จะรักษาให้มันอยู่กับเรานานๆได้หรือเปล่าล่ะ
พอพูดแบบนี้ คนมักจะบอกว่า โถ เกียร์ออโต้พังง่าย เสียเร็ว จุกจิก
ถ้าใครพูดแบบนี้ให้คุณฟังนะครับ มองหน้าแล้วจำไว้เลยครับ
ไอ้นี่ใช้เกียร์ออโต้ไม่เป็นนี่นา
แล้วถ้าใครพูดว่าเกียร์ออโต้ อืด ช้า ขับไม่สนุก เปลืองน้ำมันม๊ากมาก
มองหน้าอีกทีครับ แล้วคิดเลยว่า ไอ้นี่โลวเทค ม๊ากมาก

ลักษณะของเกียร์อัตโนมัติแบบต่างๆ






เกียร์อัตโนมัติจะพังง่ายครับถ้าคุณใช้กันไม่เป็น ก็เช่นกันกับเกียร์ธรรมดา บางคันไม่ได้
เซตมาสำหรับการกระชากกระชั้น เกียร์ธรรมดาก้อพังได้เช่นกัน
เอาหล่ะวันนี้คงไม่พูดเรื่องซิ่งเท่าไหร่นัก จะพูดถึงการใช้งานในเมืองกันดีกว่า
_
การจราจรทุกวันนี้ในมหานครของเรานั้น ติดๆหยุดๆวิ่งๆ มั่วเลยครับ ถ้าใช่เกียร์ธรรมดา
ก้อบอกเลยครับ งานนี้เมื่อยแน่ๆ เรื่องนี้ทุกคนรู้เป็นอย่างดี ใช่แล้ว ค่ายรถยนต์ก็รู้เช่นกัน
ไม่อย่างนั้นเค้าไม่ออกรถเกียร์อัตโนมัติมาซะมากมายขนาดนี้หรอก ถึงขนาดรถบางรุ่น
ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกกันแล้ว ! ! ! ! !
_
แล้วเวลาขับในเมืองน่ะ(ออโต้นะ) ขับกันอย่างไร
ยกตัวอย่างสถานการณ์ว่า ขับไปแป๊บเดียวก้อติดไฟแดง ติดแป๊บนึงก้อวิ่งต่อ ไปเรื่อยๆ
เอาที่ถูกต้องเลยนะครับ คืดเราไม่ควรขยับเกียร์จาก D-N หรือ N-D บ่อยๆ ถ้ามันถี่เกินไป
แน่เลยครับ พังครับ มันไม่เป็นผลดีกับชิ้นส่วนในเกียร์ ดังนั้น เหยีบเบรกไว้ครับดีกว่า
บางคนก้อถามอีกว่า อ้าวDเนี่ยเครื่องมันจะทำงานคือไปหน้านิ กลัวเครื่องพัง
ผมตอบเองเลยว่าไม่พังหรอกครับ เครื่องมันรับได้ เพราะมันไม่ได้มีแรงเท่าไหร่หรอก
เพราะเราไม่ไปเหยียบคันเร่งนิ แต่การที่เราเปลี่ยนเกียร์ไปมา อันนี้ พังแน่
แต่ก้อถ้ามันทำท่าว่าจะจอดติดนานก้อผลักมาที่เกียร์ว่างก็ได้นะครับ จะได้ไม่เมื่อยขา
_
ส่วนเรื่องความแรง(ขอซักนิดละกัน) จะบอกว่ามันต้องดูที่เครื่องอย่างเดียวก็ไม่ได้
เกียร์มันก็มีผลจริงๆนั่นแหละ แต่ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีก้อก้าวไปไกลมาก เกียร์อัตโนมัติ
ก้อสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดาแล้ว (มันก้อไม่ได้ใหม่อะไรเลย)
สร้างความสนุกในขณะที่สบายไปด้วย อีกอย่างรถสมัยนี้นะไม่รู้จะอะไรนักหนา
เกียร์อัตโนมัติ7สปีด! 8สปีด จะบ้ากันไปแร้ว อันนี้ก้อคงไม่ต้องห่วงว่าจะอืดนะครับ
ต้นก้อแรงดี ปลายก้อร้ายเหลือ ทะลุ300กันแน่ๆเลย
_
สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากคือ อย่าไปเชื่อใจระบบมาก ทำอะไรต้องระวังไว้ก่อน
มีสติก่อนสตาร์ททุกครั้งนะครับ^_^
_

ฝากภาพสุดท้าย เกียร์แปลกๆจากBMW (แบบนี้กว่าจะขับได้ คงงงก่อน)


Mazda RX-8 ตัวพ่อZoom Zoom

::อีกหนึ่งบทความที่ไม่เกี่ยวกับ BMW (มีผู้เรียกร้องมา)::




^รุ่นปรับปรุงโฉมแล้ว(แต่คันนี้มันแต่งเพิ่มมานะ)
^รุ่นก่อนการปรับโฉม
_
RX-8 เป็นผลผลิตของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการออกแบบจากต้นแบบรุ่น
RX-EVOLV ในปี 1999 ก่อนจะกลายมาเป็นต้นแบบของ RX-8 ในปี 2001 และกลายมา
เป็นคันจริงพร้อมขาย ในปี 2003 โดยในรายละเอียดของตัวถังเป็นรถสปอร์ต2+2ประตู
ที่บอกว่2+2ประตูเพราะมันมีบานแค็บเปิดได้ หยั่งกับปิกอัพเลย แต่จะอย่างไรก้อตาม
ผมว่าเป็นไอเดียที่ดีมากในการทำแบบนี้ เพราะลองคิดดูสิครับรถสปอร์ตทั่วไปที่มี4ที่นั่ง
แต่มีแค่2ประตู การเข้าออกเบาะหลังยากเหลือเกิน ถ้าตัวใหญ่ๆหน่อยก้อมีหัวฟาดกันหล่ะ
อีกอย่างที่ผมชอบคือ หน้าตาของมันยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ดูแล้วมีความสุขดี
_
การเปิดตัวของรุ่นปรับโฉมมีขึ้นครั้งแรกในดีทรอยต์มอเตอร์โชว์ 2008
ก้อไม่ทำให้แฟนๆ ที่ชอบความเปลี่ยนแปลงผิดหวัง เพราะมีการปรับโฉมในเกือบทุก
รายละเอียดรอบคันทั้งภายนอกและภายใน โดยด้านหน้ามากับกันชนหน้าลายใหม่
ส่วนไฟเลี้ยวซึ่งแต่เดิมเป็นแถบกินพื้นที่อยู่ระหว่างกันชนกับแก้มตัวถังก็ถูกถอดออก
และเพื่อเพิ่มความดุดันในอีกระดับ มาสด้าจัดการเจาะช่องเป็นช่องกระจังขนาดเล็ก
บนแก้มตัวถัง(เหมือนเหงือก?) ส่วนไฟท้ายแม้ยังใช้กรอบทรงเดิม แต่รายละเอียดข้างใน
เปลี่ยนใหม่ด้วยการทำเป็นดวงกลมคู่อยู่ข้างใน และกันชนท้ายออกแบบชายล่างใหม่หมด
และเสริมด้วยแถบทับทิมตรงมุมทั้ง2ด้าน
_
มาพูดถึงmax powerกันบ้างดีกว่า เป็นที่น่าสับสนอย่างมากเมื่อสื่อต่างๆได้แจ้งกำลังสูงสุด
ไว้ค่อยข้างแตกต่างกันมาเลยที่เดียว แต่ที่ค่อนข้างแน่ใจจะมีรุ่น215แรงม้ากับ250แรงม้า
มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ให้เลือกกัน
_
เรามาดูต้นกำเนิดพลังของRX-8
Mazda RX-8 ใช้เครื่องยนต์1300ซีซี แบบโรตารี่ (ขอเรียกโรตีละกัน)
เรามาดูหลักการของไอ้เจ้าโรตีกันหน่อย
(ภาพด้านล่างนี้ไม่ใช่ของRX-8นะ แต่มันชัดเจนดี)


การจุดระเบิดก็คล้ายๆกับพวกสูบนั่นแหละ แต่พวกสูบจะมี ชิ้นส่วนที่เยอะกว่า และจะ
ชักขึ้นชักลง ในส่วนของโรตีนั้นจะเป็นแบบหมุนๆๆๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ โดยไอ้เจ้าสามเหลี่ยม
ที่เราเห็นนั้นเรียกว่าโรเตอร์ อยากบอกว่าไอ้เจ้าเครื่องโรตีนี่เป็นเทคโนโลยีอากาศยาน
เชียวนะครับ เครื่องบินก้อแบบนี้(เค้าว่ากันมางี้นะ)
_
ถ้าถามว่าทำไมถึงใช้เครื่องแบบนี้คงจะตอบเป็นข้อๆดังนี้
1. น้ำหนักเบา ขนาดของเครื่องค่อนข้างเล็ก ทำให้ควบคุมการกระจายสมดุลของรถได้ง่าย
2. ในเรื่องของการส่งแรงมีการสูญเสียกำลังน้อย เนื่องจาก โรเตอร์หมุนเพลาขับโดยตรง
3. บางท่านบอกว่าซ่อมง่ายเพราะเปิดเข้าไปที่ห้องเผาไหม้ง่ายกว่าพวกลูกสูบ
::ตามความคิดของผมเองนั้นในข้อ2 ถือว่าเป็นข้อดีที่สุด เพราะมันไม่ต้องพึ่งเทอร์โบก้อ
สามารถทำกำลังได้ขนาดนี้ เยี่ยม!! แต่ข้อ3 ผมว่านะ การที่เราจะเปิดไปซ่อมถึงสูบนั้น
รถคงต้องสาหัสแล้วหล่ะ ก้อไม่เชิงว่าเป็นข้อดีเท่าไหร่นัก
_
ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง มีดี ก้อต้องมีเสียเป็นธรรมดา
1. กินน้ำมันมาก เนื่องจากการหมุน 1 ครั้ง เท่ากับการสันดาบถึง สอง ครั้ง (เค้าว่ามางี้กัน)
2. ต้องใช้น้ำมันเครื่องไปเผาไหม้ เพื่อหล่อลื่นบางส่วน (เปลืองน้ำมันเครื่องกว่านั่นเอง)
3. ไอเสียออกมามาก การเผาไหม้เกิดขึ้นยังไม่สมบูรณ์นัก (จริงหรือเปล่าไม่รู้)
4. ค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมาก (ไม่เห็นเกี่ยวเลย เด๋วมานก้อเก็บกับลูกค้าเอง)
_
เรามาดูภาพการทำงานของเครื่องโรตารี่กัน
ตัวนี้เป็นเจเนอเรชั่นต่อไปของRX-8




สรุปแล้ว RX-8ก้อเป็นรถที่นับว่ามีเทคโนโลยีในตัวที่ค่อนข้างดีที่เดียว
แต่ การที่เราจะตัดสินใจซื้อนั่นต้องมั่นใจเสียก่อนว่ามีช่างที่สามารถซ่อมบำรุงได้
แล้วก้อไปลองหยั่งข้อดีข้อเสียกันเอาเอง เพราะไม่มีใครจะบอกเราได้ดีเท่ากับตัวเรา
ส่วนเรื่องราคาในตลาดมือ2นั้นอยู่ที่ 1ล้านปลายๆไปจนถึง2ล้านต้นๆ


ปล.อาจจะเป็นบทความที่มึนๆหน่อยเพราะถูกเร่งมา -_-' 555+

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

เคยเห็นรถพวกนี้กันมั้ยเอ่ย?






















The new BMW 7er (F01/F02) มาแล้วจ้า! ! !

ก้าวสู่ยุคใหม่ไปกับBMW 7series


.
ในที่สุดตำนานของรหัสEก้อได้สิ้นสุดลง ด้วยการมาของF01 7series
เปิดตัวในไทยเมื่องานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา กับรุ่น740Li และ 750Li
.
- BMW 750Li: เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.4 ลิตร เทอร์โบคู่ 407 แรงม้า
อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 5.3 วินาที
อัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 8.8 กิโลเมตร/ลิตร
.
- BMW 740Li: เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 326 แรงม้า
อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.0 วินาที
อัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 10.0 กิโลเมตร/ลิตร
.
โดยที่ทั้งสองรุ่นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมาย ให้เล่าก้อเล่าไม่หมดครับ
ที่เจ๋งสุด ที่BMWภูมิใจนักหนา คือระบบ Night Vision "เป็นระบบกล้องอินฟาเรด
ที่สามารถจับทิศทางและความเร็วของคนหรือสัตว์ เพื่อคำนวณและเตือนล่วงหน้า
ให้ผู้ขับได้ทราบถึงสถานการณ์ที่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
โดยเฉพาะยามค่ำคืนและอยู่นอกระยะส่องของไฟหน้า"
.
สำหรับราคาก็ชิวๆครับแค่ 12,999,000 บาท ในรุ่น740 และ
15,699,000 บาท สำหรับ 750 รถหรืออะไรเนี่ย แพงกว่าบ้านเค้าอีก>_<
.
ถ้าใครอยากจะจับจองเป็นเจ้าของก้อไม่ว่ากันนะครับ
.
ปล.มีจอมอนิเตอร์ สำหรับ ผู้โดยสาร ด้านหลัง 2 ตำแหน่งด้วยนะ ^^
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก headlightmag.com

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

เครื่องยนต์ขับหลังยอดนิยม JZ

หลายๆคนย่อมรู้จักกันเป็นอย่างดีกับเครื่องยนต์ขับหลังยอดฮิต
นั่นคือ ตระกูลJZ แบบ 6สูบแถวเรียง 24วาล์ว DOHC จากโตโยต้า
พบในรถขับหลังรุ่นต่างๆของโตโยต้าตั้งแต่ปี1995 เรื่อยมา
อาทิเช่น Supra Aristo Soarer หรือแม้กระทั่งรถยอดคุณลุงอย่างCrown
.
แต่ในปัจจุบันสามารถพบได้ทั่วไปในรถยนต์ยุโรปขับหลังที่อายุมากๆ ซึ่งเจ้าของ
เค้าได้ทำการเปลี่ยนเครื่องมา (อาจจะอยากแรงแบบโบหรือเครื่องเก่าพัง)
นอกจากนี้ พวกรถปิกอัพ รถตู้ก้อนำไปเปลี่ยนเป็นเครื่องนี้กันซะเกือบหมดแล้ว
สาเหตุอาจมาจากที่เครื่องJZนี้ ทนทาน อะไหล่ถูก นำไปติดแก๊สง่าย และที่สำคัญที่สุด
คือ สามารถดัดแปลงโมให้แรงได้ดั่งใจโดยไม่ยากเย็น
.
เกริ่นมาพอแล้วมาดูหน้าตากันหน่อย
.

1JZ-GE 2,491cc แบ่งเป็น
ฝาขาว(ตัวเก่ากว่า) แรงม้า 180ps @6,000rpm แรงบิด24kg-m @4,800rpm
ฝาดำ (ตัวใหม่กว่า) แรงม้า 200ps @6,000rpm แรงบิด26kg-m @4,800rpm
.

1JZ-GE VVT-i 2491cc (ข้อมูลนี้ไม่ชัวร์นะ)
แรงม้า 200ps @6,000rpm แรงบิด26kg-m @4,000rpm
.

1JZ-GTE 2491cc
แรงม้า 280ps @6,200rpm แรงบิดสูงสุดที่ 37kg-m @4,800rpm
.

1JZ-GTE VVT-i ผมไม่มีข้อมูล รู้แต่ว่า 280แรงม้า ที่6,200รอบต่อนาที
.

2JZ-GE 2997cc มีหลายspecแล้วแต่ว่าอยู่ในรถอะไร เช่น
from crown แรงม้า 220ps @5,600rpm แรงบิด 30kg-m @4,000rpm
from aristo แรงม้า 230ps @6,000rpm แรงบิด 29kg-m @4,800rpm
.
2JZ-GE VVT-i 2,997cc
แรงม้า 230ps @6,000 แรงบิดเพิ่มเป็น 31kg-m @4,800rpm
.

2JZ-GTE 2997cc
แรงม้า 280ps @5,600rpm แรงบิดสูงสุด 44kg-m @3,600rpm
.
2JZ-GTE VVT-i ความจุ 2997cc
แรงม้า 280ps @5,800rpm แรงบิดสูงสุด 46kg-m @3,600rpm
.
2JZ-FSE 2,997cc D4 ระบบฉีดตรง ปิดตำนานJZ
กำลังสูงสุด 220แรงม้า ที่6,200รอบต่อนาที
แรงบิดน่าจะประมาณ 30kg-m ที่ 3,600รอบต่อนาที
.
หลักการดูว่าใหม่หรือเก่ากว่ากันง่ายๆก็
1 ฝาดำย่อมใหม่กว่า
2 ปลั๊กหนา ใหม่กว่าปลั๊กบาง
3 VVT-i ย่อมใหม่ที่สุด
.
ส่วนเรื่องราคาเครื่องพร้อมวางน่าจะราวๆ4หมื่น-10หมื่น+
(ไม่เว่อร์ไปหรอกครับ 2J VVแพงจะตาย)
และที่แน่นอนคือเกียร์ธรรมาแพงกว่าเกียร์ออโต้
.
ผมเพิ่งจะถามราคาค่าวาง2J VVT-i มาเมื่อเดือนก่อนนี้ (กันยา53)
เค้าตีค่าวาง+ค่าเครื่อง หกหมื่นห้า+ ซึ่งผมคิดว่าราคานี้ก็ยังไม่จบแน่ๆ
มันต้องมีนู่นนิดนี่หน่อยตามธรรมชาติอยู่แล้ว(ซึ่งราคาที่เพิ่มมาอาจไม่นิด)
.

การโมดิฟายที่เค้าทำๆกัน ก้อเช่นเปลี่ยนกล่องECUให้ปรบแต่งข้อมูลได้ หรือไม่งั้นก้อ
เปลี่ยนเทอร์โบ เปลี่ยนขนาดหัวฉีด แล้วก็เปลี่ยนปั๊มติ๊กมันซะเลย ไหนๆก็ไหนแล้วเอาให้หมด
อีกอย่างคือใช้อินเตอร์คูลเลอร์ที่ดีๆหน่อย (อย่าถามว่ายี่ห้ออะไรดี เพราะผมก็ไม่รู้)
.
มีเรื่องที่อยากเตือนไว้ จากที่ผมได้อ่านจากบอร์ดJZ สำหรับคนที่จะใช้แก๊ส
คือถ้าวางเครื่องเจเพื่อที่จะดมแก๊ส แนะนำว่าให้ทดลองวิ่งน้ำมันไปก่อนเพื่อดูว่าเครื่องยนต์
มีปัญหามากน้อยเพียงไร ประมาณว่าให้ชัวร์ซะก่อน เพราะการติดแก๊สจะเป็นการเพิ่ม
รายละเอียดของเครื่องเข้าไปอีก ทีนี้วางเครื่องไม่จบ แต่เจ้าของจบเลยครับ
.
อีกอย่างที่อยากเตือนคือ ท่านเจ้าของรถทุกท่านอย่าคิดว่าเครื่องเจเนี่ยเจ๋งที่สุด
จนบางครั้งจะเอาของดีที่มีอยู่ไปแลก คงต้องขอยกตัวอย่างเคสที่เคยอ่านเจอ
" เจ้าของFortuner2.7ท่านหนึ่ง ซึ่งเค้าคงได้อ่านคุณงามความดีต่างๆของเครื่องเจ
จากเวปต่างๆมามาก อู่ประจำเค้าก็บอกว่าจะรับเทิร์นเครื่องเก่าแล้วจะลงเครื่อง
เจ ธรรมดา ฝาดำให้ ซึ่งไม่ต้องจ่ายเงินค่าเปลี่ยนเครื่องมาก แต่ยังดีที่เค้ามาโพส
ถามในเวปคลับJZก่อน พี่ๆในเวปทั้งหลายห้ามกันแทบไม่ทัน เหอๆ "
งงมั้ยครับว่าทำไมเค้าถึงห้ามกัน ทั้งๆที่เจฝาดำแรงม้าดีกว่า
1) เจฝาดำ เก่ากว่าเยอะ ไม่มีทั้งระบบVVT-i และอื่นๆ พูดง่ายๆคือโลวเทค
2) ยังไงๆเจ้าของเค้าก็จะติดแก๊สอยู่ดี ดังนั้นเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนเครื่อง ก็ไม่ต่างกัน
นอกจากนี้ 2TR-FEยังถูกออกแบบมาให้ทนต่อการใช้เชื้อเพลิงหลากหลายชนิดด้วย
3) แรงบิดของมันมาที่รอบต่ำกว่าของเจฝาดำ ทำให้ขับง่ายกว่าเยอะ
4) (ความเห็นส่วนตัว) ผมว่า2TR-FE มันดึงดีกว่าเจฝาดำเยอะเลยอ่ะครับ
.
ในกรณีนี้ถ้าพี่เค้าบอกว่าจะเปลี่ยนเป็นเจโบเพราะอยากแรงก็คงไม่มีใครห้ามอ่ะครับ
.
มาถึงอัตราการกินเชื้อเพลิงนั้นเคยเหนและได้coppyไว้นานแล้ว
จึงไม่ทราบว่าใครทำไว้ เลยให้เครดิตไม่ถูก (ขอโทษจริงๆครับ)
1JZ GE ฝาขาวหรือฝาดำ ใช้งานในเมือง7-8 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 9-10 กม./ลิตร
1JZ GE VVT-i ใช้งานในเมือง 9-10 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 11-12 กม./ลิตร
2JZ GE ใช้งานในเมือง7-8 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 9-10 กม./ลิตร
2JZ GE VVT-i ใช้งานในเมือง8-9 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 10-12 กม./ลิตร
1JZ GTE ในเมือง6-7 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 8-10 กม./ลิตร
1JZ GTE VVT-i ใช้งานในเมือง7-8 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 9-11 กม./ลิตร
2JZ GTE ใช้งานในเมือง5-6 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 8-10 กม./ลิตร
2JZ GTE VVT-i ใช้งานในเมือง6-7 กม./ลิตร, วิ่งทางไกล 9-12 กม./ลิตร
.
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนี้พอจะเป็นแค่อิมเมจให้เห็นกันคร่าวๆครับ เพราะเมื่อ
เอาเข้าจริงแล้วมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้อัตราสิ้นเปลืองเพี้ยนไป เช่นน้ำหนักตัวรถ
เบอร์เฟืองท้าย เชื้อเพลิงที่ใช้ ไปจนลักษณะนิสัยการขับขี่ของตนเองครับ

แก้ไขเมื่อ 21-10-2010

Bmw E46 3Series (1998 - 2007) สวยที่สุดในใจผม!!!



รุ่นMinor changeของE46
.


รุ่นแรกของรหัสE46
.


รุ่นCompact
.


รุ่น Touring (wagon)
.
E46 เป็นBMWซีรี่ย์3 ที่เข้ามาทำตลาดในไทยแทนนกแก้ว(E36) ในราวปี2000
แต่สำหรับตลาดโลกได้เปิดตัวไปแล้วตั้งแต่ปี98 ด้วยรุ่น316, 318, 320, 323, 328
โดยE46นั้นถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานเดียวกับE36 ดังนั้นขนาดจึงไม่แตกต่างกันมาก
แต่ด้วยรูปลักษณืที่เปลี่ยนไป นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสู่BMWยุคใหม่
มีการแตกไลน์การผลิตมากมาย เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม
ตั้งแต่ตัวถังซีดาน คอมแพ็ก3ประตู ทัวริ่ง และ คูเป้2ประตู แต่ในไทยรู้สึกว่าจะมีแค่
รุ่นซีดานเท่านั้น (น่าเสียดายจัง)
.
รหัสE46นี้มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยตอนช่วงปี03 โดยถ้าเรามองแค่ผ่านๆก้อคงไม่ต่าง
แต่เมื่อมาดูดีๆแล้วจะพบว่า ไฟหน้ามันไม่เหมือนกัน รวมไปถึงไฟท้ายด้วย
นี่แหละรุ่นMinor changeนี่แหละที่ผมบอกว่าสวยที่สุดในใจผม (เว่อร์ได้อีก)
.
มาดูเครื่องยนต์ที่ใช้ในE46กันบ้าง
316i M44 4 cylinder 105 HP 200 km/h 1999 - 2002
316i N42 4 cylinder 115 HP 205 km/h 2002 - 2005
318i M44 4 cylinder 118 HP 206 km/h 1998 - 2001
318i N42 4 cylinder 143 HP 218 km/h 2001 - 2005
320i M52 6 cylinder 150 HP 219 km/h 1998 - 2000
320i M54 6 cylinder 170 HP 226 km/h 2000 - 2005
323i M52 6 cylinder 170 HP 231 km/h 1998 - 2000
325i M54 6 cylinder 192 HP 240 km/h 2000 - 2005
328i M52 6 cylinder 193 HP 240 km/h 1998 - 2000
330i M54 6 cylinder 231 HP 250 km/h 2000 - 2005

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

BMW E31 8 Series รถรุ่นที่คนไทยรู้จักน้อยที่สุด?

:: รถBMWที่คนเห็นแล้วมักคิดว่า มันใช่BMWหรอฟะ?::

ผมเองก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ในสมัยก่อนที่ไม่ได้คลุกคลีกับBMWเท่าใดนัก
รูปร่างได้ฉีกแนวของBMWไปมากเลย เหลือแค่เฉพาะไตคู่หน้าขนาดกระจิ๊ดริด
ซ้ำร้ายประเทศไทยเองยังหาดูแสนยากเย็น (ตัวผมเองเคยเห็นวิ่งบนถนนแค่ครั้งเดียว)
แล้วก้อBMW ซีรี่ย์8 มีเพียงแค่E31เท่านั้น! ! ! จึงไม่แปลกที่คนทั่วไปจะไม่รู้จัก

แน่นอนว่าถ้าใครอยากจะเป็นเจ้าของคงต้องหาในตลาดมือ2เท่านั้น
(ก็รถมันตั้งแต่ปี92นู่น ไม่ทำการผลิตอีก) ราคาตกประมาณ 3ล้าน+++เท่านั้นเอง
คิดดูครับรถอายุ17ปี ราคาแพงซะ

: ไฟหน้าแบบป๊อบอัพ

: ด้ายท้าย

: ด้านหน้า

: ด้านหน้าตรง

: ภายใน

สุดท้าย เครื่องยนต์12สูบ ใน850
.
ถ้าใครอยากชมรูปรถรุ่นนี้ของไทย เชิญชมได้ที่http://www.bmwsociety.com/gallery/
ปล.ไม่กล้าเอารูปเค้ามาโพสต์ แต่เห็นว่าสวยดี
.
ถ้าหากสนใจเป็นเจ้าของBMW 850i เชิญชมได้ที่
ปล.2 ผมไม่เกี่ยวกะเต๊นท์รถนะ

BMW E34 5 Series(1989-1997)ตำนานแห่งซีรี่ย์5

บทความที่ปรับปรุงใหม่ที่นี่
http://puppy-e34.blogspot.com/2010/03/bmw-e34-legend-of-5.html

: E34 ALPINA



: E34 540 Us Version

: E34 M5

: E34 M5

::BMW E34 กับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่::
( หัวข้อไม่ได้เว่อร์ไปหรอกครับ แต่คนเขียนท่าจะเว่อร์เอง )
.
BMW E34 ปรากฏโฉมครั้งแรกเมื่อปี1989 ทดแทนซีรี่ย์5รุ่นเดิมคือ E28
มีมิติยาว4.72เมตร กว้าง1.45เมตร (ยาวขึ้น10ซม. กว้างขึ้น5ซม.)
และน้ำหนักรถเกือบ1.6ตัน!!!!!
แต่มีค่าสัมประสิทธิเสียดทานของอากาศเพียงแค่ 0.3 เท่านั้นเอง
.
::ด้านเครื่องยนต์::
ในช่วงปีแรกๆนั้นยังคงใช้เครื่องเดิมของE28 ในการทำตลาด(M20) ซึ่งเป็นเครื่องที่มีความทนทานมาก เพียงแต่แรงน้อยไปเท่านั้นเอง
ต่อมาช่วงราวๆปี1991 ได้เปิดตัว520i กับเครื่องยนต์ตัวใหม่ในรหัสM50
สามารถรีดพลังได้150แรงม้า!!! ด้วยแรงม้าขนาดนี้แล้วคิดดูครับ!
รถญี่ปุ่นหลายคันในปัจจุบันที่มีความจุเท่ากันยังทำไม่ได้เลย
ถ้าคิดว่าจะจบที่แค่นั้น ยังครับ ยังไม่พอ หลังจากนั้นไม่นาน ทางBMWได้ออก525i
ที่มีระบบVanos หลายๆคนคงสงสัยว่าไอ้เจ้าVanosนี่คืออะไร จะอธิบายง่ายๆครับ
มันก็คือระบบVVT-iในโตโยต้า และVTECของฮอนด้านั่นเอง
โอ้ว ว้าวๆเอาอีกแล้ว ระบบที่พี่ยุ่นเพิ่งรู้จัก ยุโรปเค้าใช้มาตั้ง18ปีแย้วววว
แพร่มเรื่องVanosมากไปแล้ว กลับมาดูที่เครื่องยนต์ของเจ้า525กันบ้างดีกว่า
ด้วยรหัสM50B25 2.5ลิตร มีแรงม้าถึง192แรงม้า โดยที่ไม่ต้องมีเทอร์โบ และตัวอัดอากาศ
เข้ามาช่วยแต่อย่างใด คิดดูครับ!(อีกแล้ว) 1JZ-GEที่มีชื่อเสียโด่งดังยังมีแค่180แรงม้าเอง
(1JZ-GEนะ ไม่ใช่ GTE ไม่มีเทอร์โบเช่นเดียวกับM50นะครับ)
แต่ถึงอย่างไรก็ตามอัตราเร่งในช่วง 0-60กม/ชม ก้อยังทำได้ดีสู้JZไม่ได้
เพราะเครื่องตัวนี้จะสำแดงเดชที่ความเร็ว 60กม/ชมขึ้นไป ที่นี้JZก้อเหอะ เอาบ่อยู่หรอก
ความเร็วปลายไปป้วนเปี้ยนแถวๆ 215++กม/ชม โดยไม่มีอาการสั่นแต่อย่างใด
และพิเศษเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ในช่วงปี1996 ทางยนตรกิจได้ทำให้เครื่องยนต์M50
มีความจุลดลงจาก2.5เป็น2.4 แรงม้าเหลือ188ตัว เพื่อเป็นการลดภาษีที่แพงนั่นเอง
.
มาพูดถึงระบบเกียร์กันมั่ง ในไทยส่วนมากจะเป็นระบบออโต้ ซึ่งเกียร์ของBMWนั้นมีโหมด
อยู่3โหมดให้เลือกเล่นกัน คือ 1โหมดโหดลากเกียร์มันๆ 2โหมดประหยัดขับขี่เบบธรรมดา
และสุดท้าย 3โหมดเปลี่ยนเกียร์เองแบบเกียร์ธรรมดา
การขับเกียร์ออโต้ของเจ้านี้นั้น สมมุติว่าเราเกิดหมั่นไส้เจ้ารถข้างๆที่มาท้าแข่งยิกๆ
แต่เราดันอยู่ที่เกียร์สูงสุดแล้วจะเร่งก้อคงหอบอยู่ อ้าว แล้วจะทำยังไงล่ะ?
มันก็ยังพอมีทางแก้ไขครับ คือข้างใต้คันเร่งมันจะมีสวิตช์อยู่ ใช่ นั่นแหละครับคือ
เบื้องหลังความสำเร็จของเรา กดลงไปเลยครับ เกียร์มันจะปรับลงมา1step เพื่อลากเกียร์
ทั้งนี้จะช่วยให้รถเราพุ่งไปข้างหน้าได้อีกเยอะเลยครับ (แต่ก้อซดน้ำมันเพิ่มนะ)
.
::ด้านความปลอดภัย::
รถตั้งแต่ราวๆปี94 มานั้นจะมีAir Bagทั้งทางด้านคนขับและคนนั่ง และมีเข็มขัดนิรภัย
ทั้งหน้าและหลัง(ใครๆเขาก้อมีกัน) แต่ที่จ๊าบกว่าชาวบ้านคือถ้าเกิดการชนที่ความเร็วไม่มากนัก
จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตัวถัง เพราะกันชนมีระบบสปริงกันกระแทกซ่อนอยู่
อีกทั้งมีระบบดิสก์เบรก4ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อกตาย(ABS) มาให้ด้วย
.
::ด้านความสะดวกสบาย::
BMWคันนี้ดูท่าจะเห็นใจคนนั่งหลังคือมันมีแอร์ที่ด้านหลังมาให้ด้วย แต่บอกตรงๆครับแค่แอร์หน้าก้อหนาวจะแย่แล้ว ไม่รู้จะมีช่องแอร์มาทำไมเยอะแยะ
ระบบอำนวยความสะดวกอื่นๆอีกเช่น เบาะหน้าปรับไฟฟ้า8ทิศทางทั้งคู่
โดยฝั่งคนขับมีระบบmemoryความจำอีกด้วย
นอกจากนี้อาจมีออพชั่นเสริม เช่นออนบอร์ดคอมพิวเตอร์ ใช้ควบคุมระบบต่างของรถยนต์
อีกทั้งระบบแอร์ดิจิตอล วิทยุเทป CD6แผ่น
แต่มีข้อติหน่อยเถอะ ช่องเก็บของมีน้อยเหลือเกิน
.
::Minor Change::
ในราวๆช่วงปี93 มีการปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ของE34 โดยเปลี่ยนไตคู่หน้า(บางคนเรียกจมูก)
ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมไปถึงการเปลี่ยนฝากระโปรงใหม่ กระจกมองข้าง และอื่นๆเล็กน้อย
โดยในรุ่นใหม่นี้รู้จักกันดีในนามของ Big Nose
.
เรามาดูกันดีกว่าว่าเครื่องยนต์ที่มีทั้งหมดของE34มีอะไรบ้าง
Model: Engine: Power: Topspeed: Year:
518i M40 4 cylinder 113 HP 192 km/h 1989 - 1994
518i M43 4 cylinder 115 HP 198 km/h 1994 - 1995
520i M20 6 cylinder 129 HP 204 km/h 1988 - 1990
520i M50 6 cylinder 150 HP 211 km/h 1990 - 1995
525i M20 6 cylinder 170 HP 221 km/h 1988 - 1990
525i M50 6 cylinder 192 HP 230 km/h 1990 - 1995
530i M30 6 cylinder 188 HP 227 km/h 1988 - 1990
530i M60 8 cylinder 218 HP 235 km/h 1993 - 1995
535i M30 6 cylinder 211 HP 230 km/h 1988 - 1992
540i M60 8 cylinder 286 HP 250 km/h 1993 - 1995

M5 S38 6 cylinder 315 HP 250 km/h 1988 - 1992
M5 S38 6 cylinder 340 HP 250 km/h 1992 - 1995