วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Prius สุดยอดผู้นำด้านHybrid+

Prius ตัวใหม่นี้เป็นโฉมของปี2010 ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่3 เป็นรถนั่งขนาดกลาง
ซึ่งเพรียวลมมากขึ้น แต่ขนาดใหญ่ขึ้น และสร้างสถิติใหม่ในหลายๆด้าน

ถ้านึกย้อนไปแล้ว พรีอุสถือว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดที่มียอดขายสะสมมากที่สุด
และยังเป็นรุ่นบุกเบิกของไฮบริด ที่โตโยต้ารียกว่า Hybrid Synergy Drive System
หรือ HSD ซึ่งเป็นการทำงานผสมผสานอย่างลงตัวของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
.
ตลอดเวลา10ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีก็ได้พัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มาถึงตัวที่3นี้
กระแสโลกร้อนกำลังมาแรง แนวการออกแบบจึงเน้นการลดมลพิษทุกลำดับวงจรชีวิต
ของรถยนต์ ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการกำจัดหรือนำกลับมาใช้ใหม่

โฉมภายนอกรูปทรงเพรียวขึ้น มีแอโรไดนามิกสูง ช่วยขับเน้นตัวถังรูปลิ่ม
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพรีอุส เสา A-Pillar ขยับไปด้านหน้าสะท้อนพลังและความแรง
ดีไซน์ท้ายรถกว้างขึ้น เน้นอารมณ์สปอร์ตมากขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานอากาศ
0.25 ดีกว่าในรุ่นก่อน (ซึ่ง ณ ตอนนี้เรียกได้ว่าน่าจะดีที่สุดแล้ว)







ห้องโดยสารกว้างและเงียบขึ้น ห้องเก็บสัมภาระใหญ่ขึ้น ให้อุปกรณ์คุณภาพสูง
การควบคุมเครื่องเสียงหรือสวิตช์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นระบบจอสัมผัส ซึ่งเชื่อมโยง
กับระบบ Touch Tracer ที่แสดงสถานะการใช้งานบนแผงหน้าปัด
อีกทั้งพื้นที่ของที่นั่งด้านหลังกว้างขวางสะดวกสบาย ช่องว่างเหนือศีรษะมากขึ้น
โปร่ง โล่ง และ สบาย อิอิ



พรีอุสเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นแต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson 4 สูบ 1.8 ลิตร VVT-i 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 105 ปอนด์-ฟุต ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดเพิ่มขึ้นโดยมีแรงบิดรอบต่ำดีกว่าเดิม


ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร (Permanent magnet synchronous motor) ให้กำลัง 80 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 153 ปอนด์-ฟุต ร่วมกับแบตเตอรี่ชนิด Nickel metal hydride เมื่อผนึกกำลังกับเครื่องยนต์แล้ว ไฮบริดรุ่นใหม่จะมีกำลังสูงสุดรวมกัน 134 แรงม้า

จากการทดสอบในสหรัฐอเมริกา พรีอุสใหม่มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงต่ำเฉลี่ย 21.17 กม./ล. ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นแรก 17.36 กม./ล. และรุ่นที่สอง 19.47 กม./ล. แต่ทางโตโยต้าเคลมไว้ว่าจะใช้เชื้อเพลิงเพียงแค่23 กม/ลิตรเท่านั้น

ถ้าใครสนใจคงต้องบอกว่ารอไปก่อนอีก แต่ถ้าใจร้อนอยากได้รถประหยัดพลังงาน

และรักษาสิ่งแวดล้อม คงต้องจับตาดูโตโยต้า แคมรี่ไฮบริดที่จะเปิดตัวในเดือน

กรกฎาคมนี้ คาดว่าน่าจะเคาะราคาเพียง1.8ล้านบาทเท่านั้นเอง

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Honda Insight ฮอนด้าคันเดียวที่ผมจะเลือก

__สืบเนื่องจากหัวข้อเลยครับ นี่คือHondaที่ผมว่าดีที่สุด เจ๋งที่สุด และแน่นอน
มันจะเป็นหนึ่งในฮอนด้าไม่กี่คันที่ผมชอบ ทำไมล่ะ! เดี๋ยวจะบอกให้ฟัง......




__นี่คือเจเนอเรชั่นที่3 ของ Insight แล้วนะ หลายคนอ้าว ไอ้สองรุ่นก่อนหน้าล่ะ
แบบว่าไอ้สองรุ่นก่อนหน้านี้ไม่โด่งดังเอาเสียเลย รูปร่างก้อประหลาดล้ำ
หลายคนถึงกับบอกว่ารับไม่ได้เลยทีเดียว
__มาวันนี้ Insight เปลี่ยนไปแล้ว รูปร่างเหมาะสมกับจะเป็นรถที่ใช้งานในชีวิต
ประจำวันได้เป็นอย่างดี หน้าตานั้นเป็นแบบพิมพ์นิยมของฮอนด้า ดูได้จาก
กระจังหน้าที่ออกแนวคล้ายๆกับCityเลย ด้านท้ายค่อนข้างลงตัว เพียงแต่ดูท่า
จะบดบังทัศนวิสัยไปซักนิด ภายในห้องโดยสารไม่แตกต่างจาก Civic มากนัก
แต่มันก็ไม่ได้กว้างขวางนัก เพราะออกแบบเพื่อการใช้งานในเมืองก็แบบนี้แหละ



__ทางด้านขุมกำลังที่แหละที่ทำให้ผมจี๊ดที่สุด เพราะมันคือ Hybrid engine
ลูกผสมไฟฟ้ากับเบนซิน โดยเครื่องยนต์เป็นแบบ4สูบ 1339ซีซี สร้างกำลัง
ได้เพียง88แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า14แรงม้า ดังนั้นแรงม้าสุทธิ
จะไม่ใช่102แรงม้านะจ๊ะ ไม่ใช่ว่าเอามาบวกกันได้ แรงจริงๆเมื่อเครื่องยนต์
และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกันนั้นจะอยู่ที่98แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ออโต้
5จังหวะ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทำได้สูงสุด 21กม/ลิตร นับว่าดีม๊ากมาก
แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะ คู่แข่งอย่งprius ทำได้ดีกว่านี้นิดนึงในรุ่นเก่า รออีก
ไม่นานPriusจะออกตัวใหม่โดยมีอัตราสิ้นเปลืองถึง 23กม/ลิตร
แต่อย่างไรก้อตามราคาของ Insigth ถูกกว่า Prius อยู่นิดนึงหล่ะ-_-''



__สำหรับความเร็วสูงสุดของไอ้นี่ทำได้แค่182กม/ชม แต่สื่อของไทย
บางรายบอกว่ามันได้แค่175ก้อแย่แล้ว แต่จะเท่าไหร่ก็ช่างเถอะ ใครล่ะจะ
บ้าซื้อรถแบบนี้ไปขับซิ่ง จริงมั้ย?
__ข้อด้อยของเจ้า Insight นี้คือไม่สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียง
อย่างเดียวได้เหมือนกับPrius -_-"

__ใครสนใจอยากเป็นเจ้าของรถยนต์รักษ์โลก ประหยัดน้ำมัน ก้อเชิญได้
ที่รามคำแหงกรุ๊ป (โชวรูมฮอนด้ายังไม่มีนะ) สนนราคาก้อแค่ 1.89ล้านบาท
ผมชอบครับฮอนด้ารุ่นนี้^_^"
.
ค้นรายละเอียดเพิ่มเติมและรูปได้จาก http://www.brg.co.th/

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

รุ่นใหญ่ตัวแรง X5//M และ X6//M ! ! !


แฟนๆของBMWคงรู้จักรถตัวแรงของBMWที่นำรถรุ่นต่างๆมาแต่ง
ทั้งเครื่องยนต์ บอดี้พาร์ท และให้นามใหม่ว่า //M ที่ผ่านมานั้นรถที่
ถูกนำมาทำแบบนี้จะมีเฉพาะ ซีรี่ย์5กับ3 (M5 M3) เท่านั้น
แต่มาในวันนี้ทาง M power สำนักแต่งจากค่ายใบพัดฟ้าขาวได้ส่ง
X5M และ X6M ออกมาทำตลาด เป็นครั้งแรกที่BMW นำรถแบบ
SUVมาผลิตเป็นตัวแรง

ถ้าจะกล่าวว่าX5กับX6นั้นเป็นพี่น้องกันก็คงไม่ผิดอะไรนัก เพราะเจ้า
สองตัวนี้มีพื้นฐานต่างๆร่วมกัน ตั้งแต่แพลตฟอร์ม ไปจนคอนโซลหน้า
ในเมื่อมันเหมือนกันซะขนาดนี้แล้วก็คงไม่ผิดอะไรเช่นกันถ้าจะเข็น
ตัวแรงของทั้งคู่ออกพร้อมกันในคราวเดียว
พอพูดถึงตรงนี้หลายคนสงสัยว่าแล้วมันต่างกันตรงไหนบ้างล่ะ
เอาง่ายๆคือX6นั้นจะกระชากใจวัยรุ่นกว่านั่นเอง(คันสีแดง)
ส่วนX5จะเป็นSUVพันธุ์แท้ ดูไม่ค่อยจะสปอร์เท่าไหร่

ทางด้านเครื่องยนต์ของตัวแรงทั้งคู่ได้บรรจุเครื่องยนต์วี8 4,400 ซีซี
แบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้ชื่อ M TwinPower Turbo กับการ
ติดตั้งเทอร์โบแบบ Twin Scroll 2 ลูกเพื่อเพิ่มมัดกล้ามไว้ตรงกลาง
ระหว่างสูบทั้งสองฝั่ง
กำลังที่ได้มาถือว่าสามารถฟัดกับคู่ปรับตัวยงอย่าง ML63AMG
ของค่ายBENZได้เป็นอย่างดี ซึ่งมี 555 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 69.3 กก.-ม. ที่ 1,500-5,650 รอบ/นาที
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม.
จะใช้เวลาเพียง 4.7 วินาทีเท่านั้นเอง

ถ้าคิดว่าจะได้ยลโฉมบนถนนเร็วๆนี้ละก็ผิดเลยครับ เพราะมีกำหนด
ขายสำหรับตลาดยุโรปราวๆเดือนตุลาคม ส่วนราคาก็ยังไม่ระบุ
ชักช้ายืดยาดแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เห็นมันสำแดงฤทธิ์ล่ะเนี่ย
.
เอาล่ะ ทางM powerยังไม่ยอมปล่อยออกมาแบบนี้คงต้องหลีกทาง
ให้กับสำนักHAMANNเค้าขายก่อนละครับ
(รูปX6จากสำนักแต่งHAMANNให้ดูเล่นๆครับ)




ส่วนตรงท้ายนี้มีรูปX6ให้ดูกันเล่นๆ หลายมุมมอง
http://www.one2car.com/CarInfor/cardetails.aspx?caridx=K14081406&row=2
อีกคันเป็นX5
(ย้ำอีกครั้งว่าผมไม่เกี่ยวกับเต๊นท์รถ แค่เห็นว่ามันสวยดีเท่านั้น)

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

M5 vs M3 vs RX8 vs S2000 vs 350Z

ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเลยของเอาคลิปมาฝากดูเล่นๆ
(เพื่อนไปเจอ เลยส่งมาให้ดูอีกที)

เดี๋ยวว่างๆจะมาเขียนบล็อกต่อนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ขั้วใหม่ มหาอำนาจแห่งวงการรถยนต์

เป็นที่รู้กันดีถึงสภาพเศรษฐกิจของโลกที่กำลังย่ำแย่ ส่งผลไปทุกวงการ
แม้แต่วงการรถยนต์เอง ยักใหญ่อย่าง GM ก็ได้รับผลกระทบนี้อย่างรุนแรง
ความรุนแรงจากพิษเศรษฐกิจที่ GM ได้รับมากถึงกับต้องยอมทิ้งส่วนน้อย
เพื่อรักษาส่วนมากไว้ โดยการฆ่าแบรนด์ชั้นนำอย่าง Hammer และ
Pontiac ทิ้งไปซะ
.
ความย่ำแย่ส่งไปยังยุโรปด้วย ค่ายรถยนต์หลายค่ายก็มีการเปลี่ยนแปลง
และที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงคือการประกาศรวมตัวกันของ
Porsche และ Volkswagen Group ทำให้มีแบรนด์รถยนต์ชั้นนำที่ตก
อยู่ภายในเครือนี้ถึง10ยี่ห้อด้วยกัน


ทั้งนี้แบรนด์ที่อยู่ภายใต้การปกครอง(555+)ของกลุ่มนี้ ได้แก่Volkswagen,
Lamborghini, Skoda, Bentley, Bugatti, Audi, Scania, Seat และ
Volkswagen Commercial Vehicles (รถเพื่อการพาณิชย์ขนาดใหญ่)
โดยที่ทาง Porsche ยังคงดำเนินการแบบอิสระต่อไป
.
ส่วนอีกกลุ่มที่ยังไม่แน่ชัดคือค่าย Fiat เทคโอเวอร์กลุ่ม Chrysler
แถมไม่พอ ยังจะซื้อ GM Europe(Opel) อีกด้วย
.
วงการรถยนต์ขอต้อนรับยักษ์ใหม่ทุกรายจ๊ะ

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Variable Valve Timing-Intelligent

Toyota ได้ทำการพัฒนาระบบ VVT-i (Variable Valve Timing-Intelligent)
เป็นระบบที่ทำให้เครื่องยนต์บรรลุถึงกำลังเครื่องยนต์สูงสุด ประหยัดเชื้อเพลิง
และผลิตมลพิษต่ำ ปัจจุบันเทคโนโลยี VVT-i ได้ถูกนำมาใช้กับรถยนต์ Toyota
เกือบทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Vios, Altis, Camry หรือแม้แต่ Fortuner และ Vigo
.
: ที่มาที่ไปของระบบ VVT-i
วิศวกรของ Toyota มีความฝันที่จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังสูงในช่วงรอบกว้าง
กว่าที่คุ้นเคยกัน ให้กราฟแรงม้าและแรงบิดเป็นภูเขาหัวตัด มีแรงดีในช่วงรอบกว้างๆ
เหมือนมี Cam shaft หลาย ๆ แท่งสลับกันทำงานในแต่ละรอบเครื่องยนต์
เปลี่ยนแท่ง Cam shaft ได้อย่างฉับไว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะ
สลับ Cam shaft ในแต่ละรอบเครื่องยนต์ได้ เพราะรอบเครื่องยนต์หมุนเร็ว
หลายพันรอบต่อนาที และเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ขึ้น-ลงหลายพันรอบในช่วงไม่กี่วินาที
.
สุดท้าย คำตอบก็คือ ต้องทำให้เครื่องยนต์มีการแปรผันการหายใจ โดยเฉพาะการ
หายใจเข้าผ่านวาล์วไอดี ให้เปลี่ยนแปลงในแต่ละรอบเครื่องยนต์ได้คล้ายคนที่
นั่งเฉยๆ ายใจธรรมดาๆ แต่พอออกวิ่งเหยาะ ๆ หายใจก็จะถี่ขึ้น และเปลี่ยนไปหายใจ
ทั้งถี่ทั้งแรงเมื่อรถวิ่งแรงๆ
.
การแปรผันการเปิดวาล์วมีหนึ่งในวิธีที่สามารถทำได้และเห็นผลชัดเจน
ต้องทำที่ Cam shaft ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ในทางกลไกโดยตรงที่จะสั่งให้วาล์วไอดี
และไอเสียเปิด-ปิด โดยมีการคิดค้นหลายวิธีที่จะแปรผันการเปิดวาล์ว
โดยกำหนดที่Cam shaft
.
หนึ่งในวิธีนั้น ได้แก่ การใช้ Cam shaft และลูกเบี้ยวปรกติ แต่เพิ่มอุปกรณ์พิเศษที่
หัวเพลาด้านหน้าสุดของ Cam shaft ทำหน้าที่เยื้องไปมาแปรผันกับตำแหน่งของ
ข้อเหวี่ยงให้ Cam shaft เริ่มเปิดวาล์วก่อนหรือล่าช้าไปจากปรกติ ให้เหมาะสมกับ
รอบสูงและรอบต่ำของเครื่องยนต์ เมื่อเปรียบเทียบกับการเปิดวาล์วปรกติ
ที่ต้องสัมพันธ์กับตำแหน่งของข้อเหวี่ยง การเยื้องหรือแปรผันช่วงเวลาด้วยชุดหัว
Cam shaft แบบพิเศษนี้ จะถูกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รับข้อมูลและสถานะ
ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์และรถยนต์มาประมวลผล แล้วสั่งให้หัวเพลา Cam shaft
เกิดการเยื้องไปมาอย่างฉับไว แปรผันอย่างเหมาะสมตามรอบของเครื่องยนต์ที่
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลาโดยอัตโนมัติ
.
ระบบVVT-i แบ่งง่ายๆได้เป็นดังนี้

: VVT-i แปรผันช่วงเวลา แต่ระยะเวลาและระยะยกเท่าเดิม ใช้ลูกเบี้ยวเดิม
โดยไปเยื้องกันที่หัว Cam shaft ระบบนี้ความยุ่งยากน้อย ทำงานให้ผลที่ดี
ในระดับที่น่าพอใจ
.

: VVTL-i แปรผันทั้งหมดและเยื้องช่วงเวลา คือ เยื้องที่หัวเพลา Cam shaft
และสลับลูกเบี้ยวด้วยกระเดื่องพิเศษ ระบบนี้ยุ่งยากมากกว่าระบบแรก
แต่ให้ผลที่ดีกว่า อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งปัจจุบันในไทยยังไม่มีเข้ามาทำตลาด
(คาดว่าระบบนี้จะมีอยู่ในAltis2.0 ที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆนี้)
.
หนๆก้อพูดถึงระบบนี้แล้วก็คงขอยกตัวอย่างระบบจากทางฝั่งHondaบ้าง
(ประเดี๋ยวเค้าจะน้อยใจเอา)
: VTEC เครื่องยนต์ที่มีระบบความคุมการดูดอากาศเข้าเครื่องยนต์
โดยการควบคุมระยะการเคลื่อนที่ของวาล์วด้านไอดีให้เปิดมากขึ้นตั้งแต่
รอบเครื่องยนต์ปานกลางจนถึงรอบสูง ทำให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมัน
และมีแรงบิดของเครื่องยนต์ดีที่รอบต่ำและให้กำลังเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่รอบปานกลางจนถึงรอบสูง
(พูดง่ายๆคือเปิดตามรอบที่กำหนดไว้)
.

: i-VTEC เครื่องยนต์ที่มีการพัฒนาโดยผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี
vtec (ควบคุมระยะยกของวาล์วให้เหมาะตามความเร็วเครื่องยนต์)และ
เทคโนโลยี vtc (ควบคุมระยะเวลาการเปิดของไอดี )จึงทำให้เครื่อง
i-vtec สามารถควบคุมการปิดและเปิดของไอดีได้อย่างเหมาะสมในทุก
สภาวะทุกรอบความเร็วของเครื่องยนต์
(ความสามรถใกล้เคียงกับ VVTL-i)
.
เปรียบเทียบระบบแปรผันแบบต่างๆ
1. VVT-i จะทำงานคล้ายกับ Vanos (ระบบเก่าแก่ของBMW)
2. VTEC คล้ายๆกับ MIVEC (ของมิตซูบิชิ)
3. VVTL-i คล้ายๆกับระบบ i-VTEC นั่นแหละจ๊ะ
ในข้อที่1และ2 หลักการทำงานต่างกัน ซึ่งระบบ2จะปรู๊ดปร๊าดกว่าระบบ1 พอสมควร
แต่ความสามารถด้านเชื้อเพลิงและผลของงานแทบจะไม่แตกต่างกันเลย
ส่วนในข้อที่3นั้นเป็นระบบที่พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งนับว่าระบบนี้
มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ใกล้คำว่าสุดยอดเข้าไปทุกที
.
จะว่าไปแล้วระบบการทำงานพวกนี้รถยนต์ค่ายยุโรปอย่างBENZและBMWเคยใช้มาแล้ว
ผมใช้คำว่าเคยนะครับ นั่นหมายความว่าตอนนี้เค้าเลิกใช้ไปแล้ว เพราะเค้าได้พัฒนา
ระบบใหม่ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น คงจะเป็นงานหนักของค่ายรถญี่ปุ่นที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยี
ให้ตามทันฝรั่ง ซึ่งความเห็นส่วนตัวของผมคิดว่าตอนนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว ใช้จังหวะที่
เศรษฐกิจของพวกฝรั่งกำลังล้มลุกคลุกคลานนี่แหละ
เราควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเสมอนะครับ


วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

x series ตัวใหม่ SUVตัวจิ๋ว! ! !

BMW Concept X1
รถแบบเอสยูวี นับวันยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจาก กิจกรรมอันมากมายของเรา
ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วรถแบบนี้ยังตอบสนองกิจกรรมของเราได้ดีทีเดียว
รถอีกชนิดที่กำลังเป็นที่นิยมคือ รถเล็กประหยัดพลังงาน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทางค่ายBMWก็รู้ดี และขอเกาะตามกระแสความนิยมนี้ ด้วยการออกแบบ
concept car ที่สามรถตอบโจทย์ทั้งสองข้อได้เป็นอย่างดีทีเดียว





สำหรับ Concept X1 ต้นแบบของ X1 ซึ่งเป็นคลาสเล็กที่สุดของBMW
ตระกูล X เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็คประเภทเอสเอวี
มีบอดี้ยาว 4,457 มม. สั้นกว่า BMW X3 108 มม. แต่มีฐานล้อยาวถึง 2,760 มม.
โดยจะผลิตจากแพลตฟอร์มใหม่ พัฒนาจากแพลตฟอร์มของ BMW 1 Series
ที่โรงงานในเยอรมนี ซึ่งจะใช้ผลิต MINI SUV ด้วย
.
เครื่องยนต์ที่ทางBMWจะบรรจุลงในX1 นั้น บางส่วนจะนำมาจาก 1series ซึ่งใน
เบื้องต้นเผยว่าจะมีรุ่นเบนซิน 170แรงม้า และ265แรงม้า และรุ่นดีเซล 177แรงม้า
ซึ่งในทุกรุ่นใช้ระบบขับเคลื่อน4ล้อ โดยจับคู่กับเกียร์ธรรมดา6สปีด และเกียร์
อัตโนมัติ8สปีด (อะไรจะขนาดนั้น)
.
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อยไอเสียนั้นยังไม่เปิดเผย แต่เคลมไว้ว่าจะ
เป็นรุ่นที่ประหยัดในอันดับต้นๆของบริษัท (รุ่นพี่อย่างX3ดีเซลทำได้ตั้ง17กม/ลิตรนะ)
.
คาดว่าจะเปิดตัวราวๆปลายปี2009นี้แหละ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจด้วย
สนนราคาสำหรับยุโรปน่าจะเริ่มต้นประมาณ 32,000 ยูโร (1.48 ล้านบาท)
แต่สำหรับในไทยแล้วราคาจะเป็นยังไงต้องรอดูกันอีกทีนะจ๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทำไม! ........ต้องขับหน้า

จากที่หลายคนรู้กันดีอยู่แล้วว่ารถยนต์มีทั้งขับเคลื่อน2ล้อ และ4ล้อนั้น
ในรูปแบบของการขับเคลื่อน2ล้อ ยังแบ่งออกได้เป็นขับหน้า และขับหลัง
แล้วมันต่างกันอย่างไรล่ะ?
.
แต่ดั้งเดิมนั้นรถยนต์มีแต่ขับเคลื่อนล้อหลัง รถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าเริ่ม
เข้ามาในตลาดรถยนต์น่าจะประมาณปี80เป็นต้นมา และเป็นที่แพร่หลาย
มากขึ้นเรื่อยๆ
.
ลักษณะที่แตกต่างกันของเครื่องขับหน้ากับขับหลัง ให้ดูกันที่แนวการวาง
ตัวของเครื่องยนต์ ถ้าวางตามยาวตามตัวรถ ก็เป็นขับหลัง แต่ถ้าหาก
วางขวางตัวรถ จะเป็นขับเคลื่อนล้อหน้า
แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป เช่นออดี้วางตามยาวกับตัวรถแต่ขับหน้า
ซึ่งก็แล้วแต่เทคโนโลยีและแนวคิดการออกแบบของแต่ละค่ายรถ
เอาเป็นว่าส่วนมากเป็นเหมือนกับที่กล่าวไว้ตอนแรกนะครับ


เก๋งญี่ปุ่น98%เป็นขับเคลื่อนล้อหน้า



ปิกอัพ1ตันในไทยเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง


รถค่ายยุโรปมักจะเป็นขับเคลื่อนล้อหลัง
.
เนื่องจากปัจจุบันรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นที่นิยมและมีอยู่มาก ดังนั้น
วันนี้จะมาพูดถึงข้อดีข้อเสียของขับหน้ากันนะครับ
.
ดูข้อดีก่อน
1. การควบคุมรถสามารถทำได้ง่ายกว่า เนื่องจากล้อที่ขับเคลื่อนเป็นล้อคู่
เดียวกับที่บังคับเลี้ยว ทำให้คล่องตัวดี
2. ออกตัวเร็วกว่านิดๆ เพราะไม่เสียกำลังในการขับเพลากลาง(ไม่มี)
3. ซ่อมง่าย ถอดไม่กี่ชิ้นก็สามารถซ่อมบำรุงได้แล้ว
ข้อเสียล่ะ
1. จากข้อดีข้อที่1นั้น ทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าขับหลัง
2. ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุด้านหน้า รถยนต์ขับหน้า จะมีความเสียหายมาก
เพราะชิ้นส่วนมากกระจุกกันที่ในฝากระโปรงหน้ารถซะหมกเลย
3. เวลาที่รถขับหน้าวิ่งเร็วๆ รู้สึกเหมือนมันจะบินได้ ไม่ค่อยมั่นคงนัก
4. ถ้ารถหนัก กำลังในการลากจูงจะลดน้อยลง (อืดนั่นแหละ)
.
ในความคิดเห็นส่วนตัวผมเองนั้นเห็นว่าการที่รถขับหน้ามันแพร่หลาย คงจะ
เป็นเพราะใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่าขับหลัง ต้นทุนในการผลิตน้อยลงตามไปด้วย
แบบนี้บริษัทรถยนต์ช๊อบชอบ
.
อ่านแล้วหวังว่าคงจะพอเป็นประโยชน์ได้บ้างนะครับ

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

135i น้องเล็กตัวแรง จากค่ายใบพัดฟ้าขาว

เปิดตัวมาก้อตั้งหลายปีแล้วกับBMW 1 series แต่คนไทยเราก็ยังรู้จักมันไม่เท่าไหร่
หลายคนยังนึกเลยว่ามันมีด้วยหรอวะ เนื่องจากดีลเลอร์ของไทยไม่มีโครงการจะ
นำเข้ามาทำตลาด แต่ก็สามารถสั่งได้ หากต้องการ คนดังๆก็มีใช้รถนี้เหมือนกันนะ
อย่างพี่เจ เจตริน (ผมเคยเห็นลงรูปในbmwsociety.comอยู่ครั้งนึงไม่นานมานี้เอง)
.
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับตัวแรง คูเป้ ที่ใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่เกินตัวกันดีกว่าครับ

.

.

.

.

.
ความดุดันเกินตัวของรุ่นเล็กนี้มาจากเครื่องยนต์น้ำหนักเบา เบนซิน3.0ลิตร พ่วงด้วย
ทวิน-เทอร์โบ รีดกำลังได้สูงสุดที่306แรงม้า และแรงบิดที่มากถึง4ooนิวตัน-เมตร
ด้วยเครื่องยนต์ตัวนี้สามารถลากเจ้าตัวเล็กนี่ จากo-100ในเวลาเพียง5.3วินาที
โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จะควบคุมความเร็วสูงสุดไว้แค่ที่250กม/ชม เท่านั้นเอง
.
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบการจ่ายเชื้อเพลิงของBMWนั้นมีความแม่นยำมาก
ทำให้การผสมผสานกันของอากาศกับเชื้อเพลิงเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบวกด้วย
ระบบBi-VANOS ทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่13.7กม/ลิตรทีเดียว
ซึ่งตัวเลขขนาดนี้ไม่ต่างจากรถบ้านทั่วไปเลย แต่ในสิ่งที่ได้มาคือกำลังอันมหาศาล
.
ทุกอย่างนี้ล้วนมาจากโปรแกรมการออกแบบที่BMW เรียกว่า EfficientDynamics
ช่วยให้เครื่องยนต์มีกำลังมากแต่ประหยัดน้ำมัน ระบบนี้ยังรวมไปถึงระบบเบรกแบบ
Brake Energy Regeneration เป็นการเอากำลังช่วงที่เบรกกลับมาใช้ใหม่(เค้าว่ามางี้)
.
สำหรับข้อมูลเรื่องราคานั้นไม่แน่ใจนัก แต่ค่อนข้างจะแพงอยู่หรอก
ก็คงต้องขอจบบทความน้องเล็กตัวแรงไว้แค่นี้ละครับ^^