วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

30ปีแห่งการเดินทาง จากE30 สู่ F30

ตั้งแต่โลกได้รู้จัก New 3er E30 เมื่อราวๆปี1982 ซีรี่ย์3 ก็มีการพัฒนาเรื่อยมาจนสิ้นสุดยุคของE-code และเข้าสู่ยุคใหม่ของBMW ด้วย F-code และCode name ของซีรี่ย์3 ใหม่(2012) นี้คือ F30 ซึ่งมีการเปิดตัวไปเมื่อ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะวางแผงพร้อมกันช่วงต้นปี2012 นับจากวันนั้นสู่วันนี้ ก็30ปีเข้าไปแล้ว

ก่อนที่จะมีการเปิดตัวนั้นก็ได้มีภาพ Spyshot ออกมา จนหลายสื่อพยายามนำมาทำเป็นภาพPhotoshop ซึ่งถือว่าใกล้เคียงพอสมควรเลยทีเดียว

การเปิดตัวF30ของBMWนั้น ก็เหมือนกับการเปิดตัวของiPhoneตัวใหม่ของApple คือทั่วโลกต่างรอคอยซีรี่ย์ที่มียอดขายสูงสุด นับได้ว่าเป็นรถมหาชนของBMWอย่างแท้จริง และที่บอกว่าเหมือนกับการเปิดตัวiPhoneนั้น เพราะว่าแทนที่เราจะได้เห็iPhone5 แต่เรากลับได้ iPhone4s มาแทน ก็เช่นกัน เราคิดว่าเราจะได้เห็น New 3er แต่สิ่งที่เราได้เห็นราวกับว่าเป็น Mini 5er ที่อามาแปะโลโก้ของ 3erเท่านั้นเอง

แต่ไม่ได้หมายความว่าผิดหวังกับF30 เพียงแค่อาจจะคาดหวังอะไรที่มันตื่นเต้นมากไป ซึ่งจริงๆแล้F30ก็มีความตื่นเต้นในตัวมันเองไม่น้อย เส้นสายที่คมชัดตั้งแต่หัวจรดท้าย ไฟหน้าที่ยาวจนชิดกับไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของค่าย ซึ่งลักษณะไฟหน้าแบบนี้เคยพบในConcept car i8มาแล้ว บั้นท้ายที่มองเผินๆแล้วเหมือนกับซีรีย์5เอามากๆ เป็นเพราะถูกบังคับด้วยไฟท้ายที่พยายามสร้างให้เป็นเอกลักษณ์ใหม่กับBMWยุคใหม่ทั้งหมด ซึ่งผมคิดเอาเองว่ามันคล้ายกับE34 5erในสมัยก่อน

(บนซ้าย 1er บนขวา 5er ล่างซ้าย X1 ล่างขวา 5er E34)

กล่าวย้อนกลับไปเมื่อ30ปีก่อน ปี1982 BMW E30 เปิดตัวในฐานะน้องเล็กสุดของค่าย เป็นซีรี่ย์3 เจเนอเรชันที่2 ต่อจากE21 โดยถ้าเข้าใจไม่ผิด ในช่วงแรกๆมีการเปิดตัวด้วยรุ่นเด่นๆ ดังเช่น เครื่องยนต์4สูบ อันประกอบด้วย 316 ใช้เครื่องยนต์M10 1.8L คาร์บูเรเตอร์ 90แรงม้า และ318i ใช้เครื่องM10เช่นเดียวกัน แต่เป็นระบบหัวฉีด จึงให้กำลังสูงถึง105แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์6สูบ จะเป็นM20 2.0L มีกำลัง125 แรงม้า ทั้งหมดไม่มีระบบอัดอากาศใดๆมาช่วย หายใจเองล้วนๆ

แต่มาในวันนี้F30 ซีรี่ย์3 เจเนอเรชันที่ 6นั้น ไม่ได้เป็นน้องเล็กสุดของค่ายอีกต่อไป ในช่วงแรกจะเปิดตัวมาด้วย 4รุ่นหลัก มีทั้งเบนซินและดีเซล ดังนี้ เครื่องยนต์เบนซิน 4สูบ ถูกขยายความจุเป็น2.0L พร้อมด้วยเทอร์โบช่วยอัดอากาศเข้าไอดี จึงให้กำลังสูงสุดถึง 245แรงม้า จึงได้ชื่อว่า 328i และเครื่องยนต์เบนซิน 6สูบ 3.0L พ่วงด้วยเทอร์โบเดี่ยว (แต่ชื่อTwinPowerTurbo) ให้กำลังถึง 306แรงม้า จึงได้ชื่อไปแบบโหดๆว่า 335i ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลอีก2รุ่นนั้น เป็นเครื่อง 4สูบ 2.0L พ่วงเทอร์โบต่างขนาดกัน ทำให้ได้แรงที่ต่างกัน คือ 163แรงม้า และ184แรงม้า

N20B20 245hp@5,00rpm 350Nm@1,250-4,800rpm

N55B30 306hp@5,800rpm 400Nm@1,200-5,000rpm

N47D20 มี2ระดับความแรง 163-184แรงม้า

จะเห็นว่าเครื่องยนต์ที่มีการเปิดตัวมา3ตัวนั้น พ่วงมาด้วยTurbocharger อันสังเกตได้จาก Intercooler ด้านหน้าของเครื่องยนต์


จะเห็นว่าความเปลี่ยนแปลงทางวิศวกรรมที่เห็นอย่างชัดเจนคือ มีการใช้ระบบอัดอากาศเข้ามาช่วย ซึ่งการมาของเครื่องยนต์4สูบพ่วงเทอร์โบ จะเป็นการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเครื่องยนต์ 6สูบแถวเรียงหายใจธรรมดา เช่นนั้นหรือ? คำตอบคือใช่ แต่ยังไม่ใช่ในเร็ววันนี้ ถึงแม้ว่าเปิดตัวจะไม่มีเครื่อง6สูบNAเลย แต่ผมเชื่อว่า หลังจากนี้จะมีออกมาให้เลือกใช้กันเหมือนเดิม จะในชื่อ323 หรือ 325ก็ว่ากันไป

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบความเป็นเครื่องหายใจธรรมดาแถวเรียง 6สูบ ของBMWมากกว่า รู้สึกว่ามันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้หลงใหลในBMW แต่เราคงไม่สามารถหยุดการพัฒนาได้ ในเมื่อเขาอ้างว่า เครื่อง4สูบ ผูกโบ แรงกว่า ประหยัดกว่า รักษ์โลกกว่า ก็ต้องยอมรับกันไป

เมื่อ30ปีก่อน 3er E30เป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด แต่พอมาทุกวันนี้ 3er F30 มีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นผิดหูผิดตา เทียบง่ายๆ F30นั้นมีขนาดใกล้เคียงกับ E34 5erในยุคนั้น ส่วนE30 มีขนาดใกล้ๆกับ 1erในปัจจุบันเท่านั้นเอง

สามสิบปีที่ผ่านไปความยาวของตัวรถมากขึ้นน่าจะเกือบ30ซม. (ในรูปของE30เป็นตัวM3) ความกว้างเพิ่มจาก1.6M เป็น 1.8M ถ้านำมาจอดเทียบกัน คงจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เหมือนเป็นคนละซีรี่ย์

InteriorของF30นั้น ดูจะลงตัวที่สุด เท่าที่BMWได้ทำมา เพราะมันไม่ได้ขาดๆเกินๆ อีกต่อไป และการที่BMW เลือกใช้ระบบiDrive ทำให้สามารถลดจำนวนปุ่มกดที่รกตาไปได้มาก แต่ก็ต้องใช้ความชำนาญในการใช้งานอย่างมากเช่นกัน

)

เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า ออกแบบมาให้โอบกระชับคนนั่ง(แต่กระชับหรือไม่ต้องไปลองเอง) ส่วนเบาะคู่หลังแทบไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมเท่าไรนัก

จากภาพจะเห็นได้ว่าในบางรุ่นจะมีการตกแต่งภายในตัดด้วยสีเดียวกับตัวรถภายนอก รวมทั้งตัวดอกกุญแจ

มาจนถึงบรรทัดนี้ หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงเอาE30มาเปรียบเทียบ ทั้งๆที่ไม่ใช่ 3er เจนเนอเรชันแรก มันมีหลายเหตุผล ข้อแรกคือ มันเปิดขายตอนปี 1982 นับมาจนวันที่กำหนดOn sale F30นั้น จะได้30ปีพอดี(เนี่ยนะเหตุผล) เหตุผลต่อมา คือผมเชื่อว่า E30 เป็นที่รู้จักของคนไทยมากกว่าE21 ความแพร่หลายสูงมาก ยอดขายในตอนนั้นถล่มทลายถึงขั้นว่าแซงหน้ารถยนต์จากค่ายญี่ปุ่น เพราะในยุคนั้นเหมือนว่ามีการปลดล็อคภาษี การนำเข้ารถยนต์ ทำให้ธุรกิจรถยนต์ประกอบในประเทศฟุบไปมากทีเดียว ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นยุคเดียวกับที่มีการปิดปั๊มวันอาทิตย์แหละ(มั้ง)ครับ


ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เรามาย้อนอดีตของซีรี่ย์3 กันพอคร่าวๆดีกว่าครับ

E21 เปิดตำนานซีรี่ย์3 1975-1983

1

E30 ยอดนิยมตลอดกาล 1982-1992

E36 นกแก้วโบยบิน 1992-1998

E46 อารมณ์แห่งBMWที่แท้จริง 1998-2005

E90 ก้าวกระโดดสู่ยุคใหม่ 2005-2011

สุดท้ายแล้วF30จะสามารถก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป



http://www.facebook.com/sharer.php?u=http://puppy-e34.blogspot.com/2011/11/30-e30-f30.html&t=E30 t0 F30

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รถดับกลางอากาศ........

เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปเชียงใหม่ ขับๆอยู่รถก็
เกิดอาการเร่งไม่ขึ้น หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เครื่องก็ดับไปเลย จึงค่อยๆไหล
เข้าข้างทาง ดับเครื่อง(ที่มันดับไปเองแล้ว) ถอดกุญแจ ลองสตาร์ทใหม่
ผลปรากฏว่าไฟเข้ามอเตอร์สตาร์ท แต่เครื่องไม่ติด พยายามติดอยู่สองครั้ง
จึงเดินไปเอาหูแนบหลังรถ ตรงที่อยู่ของปั๊ม .........เงียบบบ ไม่มีเสียงปั๊มเลย
งั้นก็ชัด ปั๊มที่อยู่กันมาเกือบ20ปี ก็กลับบ้านไปซะแล้วT__T

ที่นี้ทราบสาเหตุแล้ว แต่ปัญหายังมี คือ ผมจะไปหาปั๊มจากที่ไหนล่ะ
ตอนนั้นจอดนิ่งอยู่ข้างทางตรงข้ามที่ว่าการอำเภอห้างฉัตร ไม่มีตลาด
ไม่มีอู่ ไม่มีร้านอะไหล่(บีเอ็ม) ไม่รู้จะทำยังไงดี พ่อผมจึงโทรหาอู่ไทแทน
ราชบุรี(ที่เปลี่ยนเครื่องรถให้ผม) เค้าบอกว่ามีเพื่อนอยู่เชียงใหม่ เดี๋ยวจะติดต่อ
ให้มาดูให้หน่อย เห้อ.....รอดละตู

เบ็ดเสร็จได้ปั๊มใหม่ ราคาทำผมซีดพอสมควร 555 (ราคามาตรฐานของใหม่)
แต่ต้องขอบคุณที่เค้าอุตสาห์มาตั้งไกล(เกือบร้อยโล) แถมฝนยังตกอีก

ก็เลยอยากเตือนเพื่อนๆที่ไม่เคยเปลี่ยนปั๊ม ให้ระมัดระวังกันนิดส์นึง
ในกรณีผมมันเสียแบบไม่มีอาการล่วงหน้าใดๆเลย อยู่ๆก็ตายกลางอากาศไป
ถ้าจะเดินทางไปไหน ก็ควรหาเบอร์อู่ที่สามารถช่วยเหลือเราได้ ติดตัวไว้บ้าง
จะอุ่นใจขึ้นนะครับ^^


^ที่อยู่ของปั๊มเชื้อเพลิงE34 (ภาพจากhttp://www.bmwe34.net)

^หน้าตาของปั๊มที่ขึ้นมาจากถัง

^อันนี้ของใหม่

(มีคนถามว่า ทำไมเปลี่่ยนเครื่องมาแล้วเค้าไม่เปลี่ยนปั๊มให้ด้วย
ผมก็เลยตอบกลับไปว่า ตอนนั้นมันไม่เสีย ไม่มีอาการใดๆ
เค้าคงไม่รื้อมันมาเพิ่มงานให้ตัวเองหรอก จริงมั้ยล่ะ)

เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย เพราะฝนตก ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

from M50 to M52 complete


Part 1 (ตัดสินใจ ทำไมถึงเปลี่ยนเครื่อง)

Part 2 (ระหว่างการเปลี่ยนเครื่อง)

Part 3 (ปัญหาที่พบ+ข้อแนะนำเบื้องต้น)

Part 4 (ทดสอบอัตราสิ้นเปลือง)

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

from M50 to M52 Part4 End!!!

ในที่สุดก็Part4 แล้ว จากที่เราได้กล่าวไปแล้วในPartแรกๆ ถึงความเป็นมา
ของการตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ จนมาถึงช่วงขั้นตอนการเปลี่ยนเครื่องยนต์
และในPartนี้ คิดว่าคงเป็นส่วนที่น่าสนใจและสำคัญที่สุด คือการรายงานผลการ
ใช้งานในชีวิตประจำวัน
ไคลแม็กซ์ก็จะคงหนีไม่พ้นอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง(น้ำมัน) แต่ในกรณี
ของใครที่จะใช้เชื้้อเพลิงสองระบบ(น้ำมัน-แก๊ส) ประเด็นนี้ก็คงจะตกไป เพราะค่า
แก๊สนั้นถูกแสนถูก ชิวๆกันไป

การทดสอบอัตราสิ้นเปลืองของผมจะใช้วิธีการเฉลี่ยผสม เริ่มจากขับรถ
นอกเมือง ด้วยความเร็วราวๆ110-120กม/ชั่วโมง อาจมีขึ้นไปถึง160++ บ้าง
แล้วก็ใช้งานในเมืองผ่าการจราจรไปกลับบ้าน-ที่ทำงานประมาณ5วัน ก็มีรถติด
พอสมควร แต่ไม่สาหัสนัก ใช้ระยะทางรวม733กิโลเมตร(นอกเมืองวิ่งเป็นระยะ
ทางประมาณ240กิโลเมตร)
ผลที่ออกมาได้ดังนี้
ผลที่ได้นั้นอยู่ในระดับที่ผมยอมรับได้ โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องหันไปพึ่งพาแก๊ส
ค่าเฉลี่ย10.779นี้นั้นเป็นการขับขี่แบบผสมผสาน ถ้าเราขับแค่เฉพาะนอกเมือง
อัตราสิ้นเปลืองก็จะสวยงามกว่านี้(ถ้าเท้าขวาไม่หนักนัก) ส่วนถ้าต้องขับรถฝ่า
การจราจรในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรทุกๆวันละก็ อัตราสิ้นเปลืองก็ย่อมจะสาหัส
มากกว่านี้แน่นอน เพราะเป็นรถเครื่องใหญ่ ซีซีสูง

เมื่อนำอัตราสิ้นเปลืองนี้มาเทียบกับเครื่องของBMWรุ่นอื่นๆแล้ว ทั้งที่ใหม่
และเก่ากว่า แล้วเราจะพบว่า
(อัตราสิ้นเปลืองในตารางนี้ได้จากการเฉลี่ยหลายๆครั้ง)
ค่าอัตราสิ้นเปลืองจากโรงงานของM50B20นั้น ประหยัดเว่อร์มาก แต่เมื่อเวลา
ผ่านไปใจคนก็เปลี่ยนตาม(ไม่เกี่ยว!!!) เครื่องยนต์มันก็เก่ามากแล้ว ทำไปทำมา
อัตราสิ้นเปลืองที่ใช้จริงกลับอยู่ที่7.50 โอ้ววว ไม่ไหวนะ
ส่วนเครื่องB25นั้นแจ้งอัตราสิ้นเปลืองไว้ดีกว่าB20นิดหน่อย แต่ใช้งานจริงเท่าไร
นั้นผมไม่ทราบ เคยได้ยินมาว่าถ้าสภาพดีๆเนียนๆหน่อย ก็ยังได้10กว่าๆอยู่

แล้วถ้าเรานำมาเทียบกับM54B25 ที่มีvanosทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย เครื่องยนต์นี้มี
ซีซีน้อยกว่าM52B28 แรงใกล้เคียงกัน แต่รับภาระน้ำหนักตัวที่มากพอสมควร
ทำให้อัตราสิ้นเปลืองออกมาดังตาราง (เฉลี่ยมาจากสื่อที่ทดสอบรถต่างๆ)
และเมื่อนำไปเทียบกับN52B25แล้ว โอ่ววว คนละเรื่องกันเลย เพราะเครื่องนี้เป็น
เครื่องที่ใหม่มาก อัดเทคโนโลยีเพียบ แรงบิดสูงในรอบต่ำ เครื่องมีน้ำหนักเบากว่า
จึงส่งผลให่อัตราสิ้นเปลืองออกมาดีมากเช่นนี้ (เฉลี่ยมาจากสื่อทดสอบต่างๆ)

สรุปแล้วอัตราสิ้นเปลืองของM52B28 ในบอดี้E34ของผมนั้น อยู่ในระดับที่
รับได้ อาจจะดีกว่านี้ได้ ขึ้นกับความสดใหม่ของเครื่องยนต์ เบอร์เฟืองท้าย ขนาด
ล้อและยาง ไปจนถึงท่อไอเสีย ซึ่งนอกจากจะมีผลกับอัตราสิ้นเปลืองแล้วยังส่ง
ผลต่อความแรงของรถด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมขอบอกว่า รถผมเดิมๆเกือบจะทุกอย่าง

ส่วนในเรื่องของความแรงนั้น ผมอยากบอกว่าผมคงเป็นพารามิเตอร์ที่ไม่ดีนัก
เพราะการเปลี่ยนจากเครื่องเก่าๆ2ลิตร เป็นเครื่องใหม่กว่า2.8ลิตรนั้น ย่อมให้ความ
รู้สึกที่ดีกว่ามากแน่นอน ลื่นไหลในทุกจังหวะ จะมีเพียงแต่ตอนออกตัวที่ไม่ดีนัก
อาจเป็นเพราะคันเร่งมันแข็งไปนิด ทำให้กดแล้วอาจมีการกระชากได้
นอกนั้นถือว่าดี ไม่มีปัญหาใดๆ (ก็ผมเล่นเปลี่ยนซะเกือบทั้งคันเลย)

:: เล่าด้วยภาพ ::
ภายในนั้น จากเดิมๆ ไม่มีAirbag ก็ได้ทำการเพิ่มเข้าไปทั้งสองฝั่ง เปลี่ยนคอนโซล
ชิ้นบนใหม่ พร้อมทั้งไมล์จาก240เป็น260

เครื่องM52กับM50

เกียร์อัตโนมัติ จากเดิมเป็น4speed เปลี่ยนมาเป็น5speed จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ลำดับของเกียร์ใหม่เป็น P R N D 4 3 2


Spacial Thanks

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

from M50 to M52 Part3

:: ปัญหาต่างๆที่อาจพบระหว่างการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ::

จากที่เกริ่นไว้ในPartแรกๆ การเปลี่ยนเครื่องจาก M50tu เป็น M52
สามารถทำได้ไม่ยากนัก เพราะเป็น single-vanos เช่นเดียวกัน ระบบไฟไม่ต่าง
แค่ยกเครื่องเก่าออก ตัดต่อ เสียบสายกลับให้ถูกต้องก็เสร็จเรียบร้อย
แต่ถ้ารถใครปีเก่า เป็นเครื่อง M20 หรือ M50 Non-vanos ระบบไฟฟ้าก็
จะมีความแตกต่างมากพอสมควร ดังนั้นความยากก็จะเพิ่มขึ้นมากทีเดียวซึ่งมา
จากการที่ต้องวายริ่งสายไฟใหม่ทั้งหมด และปัญหาก็มักจะเกิดคือวายริ่งไม่จบ
งานก็เลยจบแบบไม่เสร็จ
ถ้าเราไม่เน้นว่าจะต้องเป็นM52 ช่างต่างๆเค้าก็จะแนะนำให้ยกหัวปีใหม่ๆ
มา แล้ววางจะจบง่าย ได้ของครบ ส่วนจะเป็น525 530 540 ก็ตามกำลังทรัพย์
แต่ในที่นี้ ผมเลือกM52!!!!!!!!

ในPartนี้ผมจึงจะพยายามเขียนปัญหาที่พบ+สิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม เท่าทีพอ
จะจำได้ เพื่อหวังว่าจะเป็นแนวทางได้บ้าง (ในกรณีนี้รถผมเป็น M50B20 ปี91)

1 สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการแปลงแคร้ง เช่นถ้านำเครื่องยนต์มาจากซีรี่ย์3 แคร้ง
จะไม่เหมือนกับE34 จะต้องทำการแปลงแคร้งเสียก่อน

2 ระบบหล่อเย็นต่างๆ ใช้ชุดเดิมได้ทั้งหมด เอาอยู่ ถ้ายังอยู่ในสภาพดีพอ เพราะ
เครื่องM52เป็นอลูมิเนียม จะอ่อนไหวกว่า M50 ดังนั้นอาจใช้Coolantช่วย
เติมลงไปในหม้อน้ำจะดีมากขึ้น (เมื่อตอนใช้M50 ผมใช้น้ำเปล่า)

3 ระบบเบรก ถ้ารถของท่านเป็น525i อยู่แล้ว การใช้เบรกเดิมย่อมไม่มีปัญหาใดๆ
แต่ถ้าเป็น520 ควรจะต้องอัพเกรดระบบห้ามล้อ เช่นการเพิ่มเป็นจานรูระบาย
หรือเปลี่ยนเป็นเบรคของ525 ไม่งั้นก็ใช้เบรคแต่งไปเลยก็ได้ ตามงบประมาณที่มี

4 ถ้าเป็น520i ระบบท่อไอเสีย จะไม่มีแคท ดังนั้นถ้าจะวายริ่งสายไฟให้ครบๆ
จะต้องต่อแคทเข้าไปด้วย (จริงๆแล้วคิดว่าก็ไม่ค่อยจำเป็นนะ บางคนถอดทิ้งก็มี)

5 ถ้าเป็น520i เบอร์เฟืองท้ายจะเป็นเบอร์ใหญ่(ใช่มั้ง) หากเราไม่เปลี่ยน ต้นจะมา
ไวมาก แต่ปลายก็หมดไวมากเช่นกัน(ผมเข้าใจถูกมั้ยหว่า)
เอาเป็นว่ามันต้องเปลี่ยนเฟืองท้ายให้มันเหมาะสมละกัน แล้วแต่สูตรใครสูตรมัน^^

6 เรือนไมล์ ถ้าเป็น240 ก็ควรจะเปลี่ยนให้เป็น260ซะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว และเมื่อ
เสร็จแล้วฟังก์ชั่นต่างๆก็ควรจะใช้ได้ทั้งหมด ครบๆ
แก้ไข คือไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเปลี่ยนครับ ฟังก์ชันจะได้ครบ ไม่ใช่แค่พอวิ่งได้

7 กล่องฟิวส์ และแผงใต้เบาะ ถ้าระบบมันเก่า มันจะไม่สามารถใช้ร่วมกันได้เลย
จึงต้องทำการเปลี่ยนซะ จากภาพเป็นตัวอย่างของรถผม
จะเห็นได้ชัดเจนว่า ของเดิมมันค่อนข้างจะเละเทะมากทีเดียว อีกทั้งยังมีปัญหาของ
ระบบพัดลมหน้าเครื่อง จากภาพBeforeจะเห็นว่าผมได้เอารีเลย์พัดลมแยกออกมา
แล้วมันก็ยังไม่เวิร์คไหม้ตลอดๆ

8 ระบบไฟ ต้องได้มาครบๆ+กับประสบการณ์ของช่าง ไม่งั้นวิ่งได้แต่ไม่จบ
เพิ่มเติม(16/4/56) หลังจากที่ใช้งานพบว่าที่อู่เค้าได้วายริ่งระบบไฟมาให้ครบมากๆ
ระบบแจ้งเตือนทุกอย่างครบ อาทิ Door Open เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้คาดหวัง
เพราะก่อนเปลี่ยนเครื่อง รถปีเก่าๆอย่างผมมันจะไม่มีระบบอะไรพวกนี้
ก็ต้องขอบคุณทางอู่BMราชบุรี ที่จัดเต็มให้ขนาดนี้

9 ข้อนี้เป็นปัญหาหลังจากวางเครื่องแล้ว คือ หน้ารถลอยขึ้นมาเฉยเลย ?
ก็เคยได้ยินมาว่าเครื่องมันเบากว่า แต่ก็ไม่คิดว่าเครื่องมันจะเบากว่ากันขนาดนี้
อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
เพิ่มเติม เครื่องยนต์M50 non-vanosนั้นจะมีน้ำหนักที่ 190กว่าๆ แต่เครื่อง
M52 single-vanos จะหนักประมาณ170กก. เบากว่ากันตั้ง20กก. เยอะนะจ๊ะ)
(ทางอู่ได้ลองเปลี่ยนโช๊คกับสปริงไปหลายชุดแล้ว ก็ยังเหมือนเดิม)
วิธีแก้ทำไง? ก็คงต้องไปหาโช๊ค+สปริงแต่งเตี้ยน้อยมาใส่ แต่อย่าไปตัดสปริงนะ
มันไม่เวิร์คหรอก จริงๆ หรือ อีกวิธีนึง คือในเมื่อหน้ารถมันลอย ตูดจม ก็เสริมตูด
ซะ ให้มันดูเท่าๆกัน วิธีนี้เป็นวิธีที่ผมเลือก ถึงมันจะทำให้รถสูงขึ้นไปกว่าปกติ
นิดหน่อยแต่ก็รถก็ดูสมมาตรขึ้นกว่าเดิม

หลายคนอาจจะบอกว่ามันไม่จบหรอก วางM52ในE34น่ะ ผมยืนยันนั่งยันว่าจบครับ
ขึ้นกับของที่ได้มา และประสบการณ์ความสามารถของช่าง

:: เล่าด้วยภาพ ::
ระยะห่าง ของเครื่องกับแผงหม้อน้ำ (หม้อน้ำใช้ของเดิมได้ แต่ผมเปลี่ยน)

กรองอากาศ และอุปกรณ์ต่างๆอยู่ในตำแหน่งเดียวกับm50 ใช้ของเดิมได้
(ที่มันโล่งๆเพราะท่อไดชาร์จมันDisappearไปนะครับ555+)
งานวายริ่งสายไฟ ต้องรื้อวายใหม่เกือบหมด(กรณีที่รถปีเก่ามาก)

กล่องเก็บสายไฟ อันนี้เปลี่ยนใหม่ ของเดิมจะเข้ารูปกับตัวถัง แต่เหมือนจะ
ยัดสายไฟได้ไม่ครบ เลยต้องหาของคันอื่นมาใส่ ก็เรียบร้อยใช้ได้
(คิดว่าเป็นของE36 ยกมาพร้อมกับชุดสายไฟ)

partต่อไปจะเป็นPartสั้นๆ รายงานสรุปผลการใช้งาน M52B28 และ
แนวทางการปรับแต่ง M52


ถ้ามีข้อสงสัย หรือผมผิดพลาดประการใด หรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ติดต่อได้ที่ puppy_e34@hotmail.com

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

from M50 to M52 Part2

:: ตามหาอู่เปลี่ยนเครื่อง ::
จากPartที่แล้ว ได้เล่าถึงที่มาที่ไปของการเปลี่ยนเครื่องยนต์ในครั้งนี้ และ
ได้ข้อสรุปแล้วว่าผมจะวางเครื่องยนต์M52ในE34สุดที่รัก ผมจึงเริ่มปฏิบัติการ
เปิดเวปต่างๆที่มีโพสขายเครื่องที่ตัดมาจากญี่ปุ่น เริ่มหาข้อมูลปัญหาการวางใน
บอดี้E34 แต่ผมก็ต้องผิดหวัง เพราะข้อมูลเหล่านี้มีน้อยมาก นอกจากนี้แล้วอู่ที่
รับวางนั้นก็มีน้อยมาก

อู่แรกที่โทรไปติดต่อ อยู่ในกทม.ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก แต่เมื่อคุยกับ
เค้าแล้ว รู้สึกเองว่าเค้าไม่ค่อยมั่นใจในการวางเครื่องM52ลงในE34เลย คอยแต่
เชียร์ให้วางM50เหมือนเดิม เออะ อยากจะบอกว่าพี่ครับ ผมอยากได้อะไรที่มัน
แปลกใหม่ ก็เลยจบการสนทนาไปสำหรับเจ้านี้
ผมก็โทรหาอู่นั้นอู่นี้ไปเรื่อย............บลาๆๆๆ ก็ไม่มีใครให้ความมั่นใจได้เลย
ว่าถ้าวางแล้วจะจบแบบเนียนๆ
เชื่อมั้ยว่าระหว่างที่หาอู่เนี่ย รถผมก็จอดอยู่เฉยๆ เกือบปี!! มันก็เริ่มโทรมไปเรื่อยๆ
และแล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่ปลายสายจะตอบได้โดยไม่ลังเลนักว่าOk
เค้าบอกผมว่า มีให้เลือกทั้ง M52B25 M52B28 ผมตกลงทางโทรศัพท์ไปว่าจะ
เอาเครื่องM52B25 เค้าก็แจ้งราคามาในระดับที่ผมรับได้
พอวันที่เดินทางไปดูเครื่อง เค้าบอกว่าเครื่องM52B25มีคนมาอ้อนวอนสอยเอา
ฝาไปแล้ว T^T ผมก็แบบว่า เออะ แล้วผมจะทำไงอ่ะพี่ เค้าบอกว่าเป็นM52B28
ได้มั้ย ผมบอกว่าก็ได้ แต่งบไม่พอ(ตอนแรกเค้าแจ้งค่าวาง B28สูงกว่า B25ลิบ)
คุยไปคุยมา เค้าก็เลยตกลงวาง B28ให้ในราคาB25 O_o ว้าว เซอร์ไพรส์จัง
ก็เลยมาลงเอากับเจ้านี่

:: วันส่งรถ ::
เนื่องจากอู่เค้าอยู่ถึงราชบุรี (ผมควรจะโพสชื่อป่ะ ไม่ได้ขออนุญาตที่อู่ไว้
แต่ก็คิดว่าน่าจะรู้กันแหละ) พ่อผมเป็นคนนำรถไปส่ง วิ่งไปทั้งๆที่เกียร์มันเสีย
นั่นแหละ แค่นี้ก็ลำบากแล้ว แต่ความลำบากยังไม่จบ อย่างที่ผมบอกว่ามันจอด
นานมากแล้ว แอร์มันก็เลยไม่ติดเอาดื้อๆ ร้อนสิครับ "" ไอ้ที่ควรติดก็ไม่ติด
ยัง... ยังไม่จบแค่นั้น ไอ้ที่ไม่ควรติดก็ติด ... เบรกครับ ไหม้ไปเลย ต้องจอดซ่อม
อู่ในปั๊มข้างทาง ทั้งๆที่จะต้องเปลี่ยนมันอยู่แล้ว (เบรกเดิมเอาB28ไม่อยู่หรอก)
แต่ก็จำใจ เพราะต้องไปต่อ
หมดไปหนึ่งวันที่แสนทรมาน(ของพ่อผม555+)

เชื่อมั้ยครับว่าหลังจากที่ส่งรถแล้ว ก็ไปเยี่ยมเยียนมันแค่สองครั้งเอง โดยครั้งแรก
หลังจากส่งรถไปหนึ่งสัปดาห์ ผลปรากฏว่าเค้ายกเครื่องเก่าออกมา แล้ววางเจ้า
B28ลงไปแล้ว ดังที่เห็น

ในความรู้สึกผมเหมือนกับว่ามันก็ใกล้เสร็จละสิเนี่ย แต่ความเป็นจริงแล้ว
นี่คือส่วนที่ง่ายที่สุด ส่วนที่ยากคือการวายริ่งสายไปต่างๆให้ครบ
ถ้าวางในE34ทั่วไปก็คงไม่ยากหรอกครับ แต่ทำไมรถผมถึงยาก เดี๋ยวจะ
แจ้งให้ทราบในPartถัดไป

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

from M50 to M52 Part1

:: บทนำ ::
ก่อนที่เราจะมาเข้าเรื่องราวความเป็นไปของการเปลี่ยนเครื่องครั้งนี้
เรามาดูข้อมูลสมรรถนะเปรียบเทียบกันก่อน


เริ่มจากM50B20 เครื่องยนต์เก่าของผม พิกัดความจุอยู่ที่ 2.0ลิตร
กำลังอยู่ที่150แรงม้า เรี่ยวแรงก็ถือว่าค่อนข้างดีใช้ได้ เมื่อเทีบบกับรถที่มี
ขนาด2.0ในปัจจุบัน แต่!! ไม่เพียงพอกับการลากรถที่มีน้ำหนักมาก ราวๆ
1.6ตัน ทำให้อัตรสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยพุ่งไปแตะที่ 6-7km/L !!!
ถ้าวิ่งฝ่าการจราจรในเมืองอัตราการซดอยู่ที่ 4-5km/L ซึ่งมันมากเกินไป
หากจะใช้ในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้เครื่องM50B20นั้น รับภาระลากตัวที่มีน้ำหนักมาก อัตราเร่ง
อืดอาดในช่วงออกตัว อัตรเร่งแซงในย่านความเร็วต่ำๆค่อนข้างอึดอัด
แต่จะไปแผลงฤทธิ์ในรอบสูง ถือได้ว่าจี๊ดจ๊าดสะใจไม่น้อย แต่ถ้าต้องเบรก
อย่างกะทันหันแล้ว จะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะกลับไปอยู่ย่าน
ความเร็วสูงได้อีกครั้ง (ประสบการณ์จริง)
ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมเปลี่ยนเครื่องยนต์ครั้งนี้
แต่เหตุผลหลักคือ เกียร์อัตโนมัติ4สปีด ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานก็ถึง
เวลาของมันที่จะกลับไปบ้านเก่าของมัน ครั้นจะซ่อมก็แพง+ไม่ค่อยคุม
โจทย์แรกก็ผ่านไปโดยคำตอบคือ ผมคงไม่ซ่อม 555+
ด้วยเหตุผลต่างๆมีมากพอ(มั้ย?) ผมจึงทำเรื่องขออนุมัติเพื่อทำการ
เปลี่ยนเครื่องยนต์ แล้วทีนี้ก็เริ่มตั้งโจทย์ใหม่ว่าจะวางเครื่องอะไร?
โจทย์นี้ยากครับ เพราะต้องตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย ดังนี้
1 ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม(บ้างก็ยังดี)
2 แรงดีกว่า อัตราเร่งดีกว่า
3 ฟีลลิ่งในการขับขี่ไม่ต่างจากเดิม อารมณ์ไม่เปลี่ยน
4 ดูแลรักษาง่าย (ไม่เอาโบ เอาหายใจธรรมดา)

เครื่องยนต์ที่สามารถวางในE34ได้นั้น ต้องเป็นเครื่องยนต์ขับหลัง
กำลังค่อนข้างสูง ตัวเลือกของเราที่สามารถวางได้จึงมีดังนี้
1 M50B25 ไม่ข้ามพันธุ์ วางง่าย แรงดี แต่เดิมๆ
2 M52B28 ข้ามรุ่น ไม่ข้ามพันธุ์ แรงดี กำลังสูง แต่แปลงเยอะหน่อย
3 M60B40 ถ้ามาทั้งหัวครบชุดก็จบ แรงดีมาก แต่ราคาสูง
4 1JZ-GE ข้ามพันธุ์ เหมือนจะประหยัด แต่แรงไม่ดี ลากไม่ค่อยไหว
5 1JZ-GTE นิยมมากสำหรับคนชอบความแรง โมได้เยอะ
6 2JZ-GE กำลังสูงแบบดิบๆ ไม่มีโบ
7 2JZ-GTE แรงดีมาก(จนเกินความจำเป็น)
8 1UZ-FE ค่าเครื่องถูกมากเมื่อเทียบกับกำลังที่ได้ แต่เปลืองน้ำมัน

ข้อมูลเครื่องยนต์JZ

จากโจทย์ที่เราตั้งไว้ 4ข้อ เราจึงตัดข้อเหล่านี้ออกไปได้ เนื่องจาก
ข้อ3และ8 สิ้นเปลืองน้ำมันไม่ต่างจากเดิม
(แก้ไข จากข้อ3 M60หากได้เครื่องที่ค่อนข้างสด สภาพดี วางดีๆ ก็ให้ความประหยัดได้ในระดับพอๆกับ พวกเครื่อง6สูบเลยทีเดียว แถมยังได้ความนิ่งกว่าอีกด้วย แต่ตัดประเด็นนี้ไปเพราะ ยุคนั้นหัวตัดมันค่อนข้างแพง)
ข้อ5และ7 เปลืองน้ำมัน และ มีเทอร์โบ ดูแลรักษายากไปนิด

สุดท้ายแล้ว ผมรู้สึกเองว่า ถ้าเราวางJZ-UZมันข้ามพันธุ์ไปหน่อย แปลงเยอะ
แล้วระบบฟังก์ชั่นต่างๆมันก็หายไป งานวายริ่งถ้าทำไม่ดีก็แค่วิ่งได้(แต่วิ่งไว)
แม้ว่ามันจะเป็นตัวเลือกที่ราคาค่าวางไม่สูงมาก กินน้ำมันก็คงจะไม่สาหัส
อะไหล่ถูกหาง่าย แต่มันเสียความเป็นBMWไป อีกทั้งปัญหาที่ได้เห็นมา
จากคนที่วาง JZก็คือ พวงมาลัยหนัก เพราะเครื่องมีน้ำหนักเยอะกว่าเดิม
แล้วยังไงก็ตาม ผมตั้งใจว่าจะไม่ติดแก๊สแน่นอน ดังนั้นเมื่อใช้น้ำมัน อัตราสิ้นเปลืองก็ดู
จะไม่ต่างกันมากนัก

(เพิ่มเติม หากใครที่คิดจะเปลี่ยนเครื่องยนต์E34 แล้วไม่ต้องการลงเครื่องBMWอีก อาจจะด้วยเหตุผลหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นปัญหาของค่าใช้จ่ายในการวางเครื่อง แล้วก้ถ้าไม่ใช่คนชอบความแรงบ้าพลังแบบTurbo ผมเองแนะนำว่าให้ลง2JZไปเลย อย่าไปหวังอะไรกับเครื่อง1JZ แม้ว่าดูจากตารางกำลังเครื่องยนต์ใกล้เคียงกับM50แต่เมื่อมาใช้งานจริงหลายคนพบว่ามันไม่สามารถพาตัวถังE34ไปได้ สุดท้ายก็ต้องมาลง2JZกันใหม่ เสียเวลาเสียเงิน หรืออาจจะหันไปคบกับUZเลยก็ได้ แม้ว่าจะมีข้อเสียตามที่ได้กล่าวไว้ แต่ทุกปัยหาก็พอหาทางแก้ได้)

ส่วนM50B25 ค่อนข้างเดิมๆ วางแล้วไม่แตกต่าง ถึงแรงจะดี แต่ก็ไม่ค่อย
จะสดใหม่ เทคโนโลยีที่เก่ากว่า ดังนั้นผมจึงเลือก M52B28 ที่มีความจุที่
มากกว่า ส่งผลให้แรงบิดสูงกว่า แต่มาในรอบที่ต่ำกว่า ทางทฤษฎีแล้วควร
จะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำกว่า (แต่ก็อย่าลืมว่าความจุมันสูงกว่า)
บวกกับการที่เครื่องM52นี้ จะมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ5สปีด ยิ่งทำให้ความสามารถ
ในการใช้รอบเครื่องมีเหมาะสมมากขึ้น

เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมก็เริ่มออกตามหา อู่ดีๆที่จะกล้าวางเครื่องนี้ให้ผม
ซึ่งจะเล่าต่อไปในPart2ครับ ^^